วันจันทร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2555

CHARITY-SHIRT

กดรูป (จะเป็นรูปใหญ่) เผื่อดูรายละเอียด

"Laos is more" 2

ตะลอนลาว

ภาคสาม ตอน "Laos is more" 2

"แค่เริ่มก็เซ็งแล้ว"

ก่อนขึ้นบนรถทัวร์....หลังจากที่เพื่อนๆ มากันแล้วก็ลงไปรอแถวๆ หน้าร้านSwensens เพื่อรอคนของรถทัวน์มารับไปขึ้นรถ ไอ้ตอนแรกก็คิดว่าขึ้นๆ แถวบางลำพู ที่ไหนได้พอพนักงานรถทัวน์มารับก็พาไปเดินขึ้นที่หน้ากองสลาก - - “ ซึ่งระหว่างเดิน พี่เค้าก็พาลัดเข้าซอยนู่นออกซอยนั้นไปเรื่อย และนั้นก็ถือว่าเป็นค้นพบร้านเหล้าเจ๋งๆ ในซอยเหมือนกันน่ะเนี่ย ไม่คิดว่าจะมีร้านน่านั่งอยู่ในตรอก(เล็กมาก) ปกติ จะอยู่ตามถนนข้าวสารไม่เคยจะเข้าไปที่ลึกลับแบบนั้น เพราะพอเดินไปสักพักก็มาอยู่ข้างๆ กองสลากแล้วซึ่งก็ซื้อตั๋วที่นั่นเลย แต่ทางพวกเราได้จองไปเรียบร้อยจะมีก็แต่เพื่อนคนหนึ่งที่ยังไม่ได้ซื้อเพราะมาตัดสินใจจะไปด้วยในนาทีสุดท้ายพอดี..พอไปถึงรถเซ็งอย่างแรกคือที่นั่งเป็นแบบใครมาก่อนได้ก่อน (แล้วก็ไม่บอกให้เราไปรอที่รถเลยว่ะ) ก็ทั้ง 9 ชิวิตก็กระจัดกระจายนั่งตามสะดวกเลย เซ็งอย่างที่สองคือที่นั่งเล็กไปหน่อยไม่ใช่ที่นั่งรถทัวน์แบบ vip (อาจเป็นเพราะเราอ้วนหรือเปล่าว่ะเนี่ย) บนรถมีแต่คนต่างชาติเพียบ แต่ที่ผมนั่งข้างๆ เป็นคนไทยก็อายุพอๆ กับผมนี่แหละ(เป็นผู้ชาย...นี่คือเซ็งอย่างที่สาม 555) เวลาคร่าวๆ จากข้าวสารไปถึงเวียร์จันทร์ประมาณ 14 ชั่วโมง!!!!!!! นั่งไปข้างเลย ซึ่งราคาตั๋วในเที่ยวนี้ก็หนึ่งพันถ้วนพอดี 14 ชั่วโมง ก็รถออกหนึ่งทุ่มก็ถึงประมาณเก้าโมง สาหัญใช้ได้..

ระหว่างอยู่ในรถซึ่งนั่งแยกกันแล้วนั้นเพื่อนที่ดีที่สุดคือเพลงเนี่ยแหละไอพอตคือสิ่งแรกที่นึกถึง หลังจากที่ไฟบนรถเริ่มปิดระหว่างที่รถวิ่ง ระหว่างที่เพลงในไอพอตกำลังทำงาน ระหว่างที่ฝรั่งหัวดำหรือคนไทยหัวทองกำลังหลับใหล ความทรงจำจากทั้งสองครั้งที่ไปลาวกับก้อยก็ผุดขึ้นมาสะท้อนกับกระจกพร้อมกับไฟข้างทาง.......น้ำตามันไหลออกมาเองเมื่อไรไม่รู้

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

Byrdpographic Style

ช่วงนี้รู้สึกชอบเขียนภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนมากๆ เพลินดี..แล้วเคยเห็นงาน TYPO รุ่นใหญ่ๆ ที่วาดเป็นลายเสื้อบ้างลายหน้าตาบ้าง เลยลองเขียนไปเรื่อยๆ แล้วลองมาใส่รูปตัวเองดู (วาดผอมกว่าตัวจริงไปหน่อยน่ะ 555) คล้ายๆ เหมือนกันน่ะ ว่าแต่จะมีใครอ่านออกไหมเนี่ยว่าลายเสื้อเขียนว่าอะไรบ้าง????

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

"Laos is more" 1

ตะลอนลาว

ภาคสาม ตอน "Laos is more" 1

"คำนำ..เดินทางตาม"


คำเตือน :

สำหรับคนที่ยังไม่เคยอ่านภาคหนึ่ง ตอน "เวียงจันทร์กันเอง" แนะนำว่าให้ย้อนกับไปอ่านได้ในบทเก่าๆ หรือตามลิงค์นี้ได้เลย http://byrdberger.blogspot.com/2009/07/laos-town-story.html (ตอนแรก) แต่ถ้าไม่อยากอ่านจริงๆ ก็ไม่เป็นไร ผมขอโทษทีล่ะกันที่ดื้อจะให้คุณอ่านให้ได้(ฮา) แต่ต่อให้ไม่ได้อ่านมาก่อนยังไงมาอ่านภาคสามนี้เลยก็เข้าใจได้ปกติ แต่สาระสำหรับการแนะนำลาวจะอยู่ที่ภาคแรกซะหมดน่ะ :D


และสำหรับใครที่อ่านภาคหนึ่งมาแล้ว..และกำลังหาอ่านภาคสอง ตอน "เวียงจันทร์กันอีกที" อยู่ ก็ไม่ต้องเสียเวลาน่ะ เพราะมันไม่มี...อืมมันไม่มีจริงๆ......


อ่ะแฮ่ม!! หลังจากกลับมาแล้วผมก็ไม่ได้รีบเขียนบล๊อกเลย เพราะตั้งใจจะเขียนเรื่องอื่นๆ ก่อนที่จะเขียนเกี่ยวกับการเดินทางครั้งนี้ เพราะรู้สึกว่าการที่หยุดเขียนแล้วเขียนเรื่อยๆ คือการได้คิด ทบทวนเรื่องต่างๆ ให้เข้าที่ และจะบอกเรื่องที่สำคัญที่สุดคือรูปจากการไปเที่ยวลาวครั้งนี้ในกล้องผมมี จำนวน 1 รูปถ้วน (เป็นรูปผมถ่ายกับพระธาตุหลวง) ไม่มีรูปวิวหรืออะไรทั้งสิ้น มีคนบอกว่า "รูปบางรูปสามารถแทนคำล้านคำ" ถ้าแบบนั้นผมคงเขียนจนมือหงิกตายไปก่อนก็ได้

.

.

.

.

วันนี้วันที่ 30/12/2011

หยุดมาได้วันนี้ก็วันที่สองแหละ ทำนู่นทำนี่ไปเรื่อยๆ มารู้สึกตัวอีกทีก็มานั่งอยู่ที่ร้าน Swensens ที่ข้าวสาร...มานั่งทำอะไร ก็มานั่งรอเพื่อนๆ เตรียมเดินทางไปลาว (ครั้งที่ 3 ในชีวิต) ครั้งนี้ต่างจากสองครั้งที่แล้ว ต่างที่ครั้งนี้เดินทางไปกับ "เพื่อน" ใช่แล้ว!!! ไปกับเพื่อนแถมเยอะอีกต่างหาก 9 คน สำหรับทริปปีใหม่ครั้งนี้ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทริปนี้จะไปกัน 3-4 คน ตื่นเต้นเหมือนกัน ตื่นเต้นกับการเดินทางและตื่นเต้นกับจำนวนคน และที่สำคัญ ตื่นเต้นกับคนที่จะไปด้วยกัน เพราะอีก 5 คนเป็นคนที่ไม่เคยเจอกันมากก่อนแม้กระทั่งพูดคุยด้วยซ้ำไป แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ไม่แปลกเท่าไร เพราะนอกจาก 5 คนที่ไม่รู้จัก อีก 3 คนที่เหลือนี่ก็เป็นความสัมพันธ์ที่ผมรู้จักแบบเพื่อนของเพื่อนอีกทีแทบทั้งนั้น แต่ก็เป็นคนที่ค่อนข้างสนิทสนมกันมาก่อน จนทำให้เรื่อง lifestyle ต่างๆ ไม่มีปัญหาอะไร


แจกแจงทริปนี้คร่าวๆ เป็นแบบนี้ ออกเดินทางวันนี้(30) (เย้ๆๆๆๆ) แล้วก็กลับวันที่ 4 ประมาณ 6 วัน โดยที่เดินทางไปโดยรถทัวร์ที่ข้าวสารไปลงเวียงจันทร์ ทีแรกจะเดินทางโดยรถไฟเหมือนกับครั้งแรก แต่ถ้าเดินทางโดยรถไฟจะหลายต่อและเสียเวลาไปกับความรวดเร็วสุดสุดของรถไฟบ้านเรา แต่รถทัวร์นี่ถึงที่หมายเลยโดยที่ลงไปตรวจ passport ที่ชายแดนก็จบแล้ว....ณ ตอนที่เขียนเรื่องลาวอยู่นี่ เพื่อนๆ ก็เริ่มทยอยมากันแล้ว และก็เริ่มหาอะไรกินกันรองท้องไว้ เพราะรถออกตอน 1 ทุ่ม รถวิ่งยาวๆ เลยหาไรกินให้เรียบร้อยไปเลย โดยที่ผมก็นั่งกินโจ๊กไปเรียบร้อยแล้วเพราะมาถึงคนแรกเลย --" ไม่อยากกินเยอะ เด๋วปวดท้องขี้แตกจะเซ็งเพราะห้องน้ำรถทัวร์นี่...ยกไว้ในฐานที่เข้าใจล่ะกัน


ยังไงซะเที่ยวปีใหม่ครั้งนี้ ก็ตั้งใจมาเขียนอะไรเก็บเอาไว้ซะหน่อย เพราะอยากจะระลึงถึงเรื่องเก่าๆ ความทรงจำเก่าๆ ที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้ จะดูเหมือนการเพ้อ แล้วก็โม้แตกกับบรรยากาศเก่าๆ แบบนี้ถ้าในสมัยเรียนที่คนโบราณเค้าว่ากันก็คงเรียกว่า "นิราศ" ล่ะมั่ง การพรรณนาถึงการเดินทางที่ลำบากและการพรรณนาร่ำร้องถึงคนที่รักคนที่คิดถึง แต่ผมคงจะไม่เขียนเป็นกลอนหรอกน่ะฮะ เพราะแค่เขียนธรรมดาก็ผิดเยอะมากๆ แล้ว(ฮา) เอาเป็นว่าครั้งนี้..ลาวครั้งนี้คงมีอะไรมากกว่าที่คิดอยู่แล้วแหละ


ชื่อของเรื่องลาวครั้งนี้คงเป็นอะไรไม่ได้นอกจากคำว่า "Laos is more" ลาว...มากกว่านั้น

วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2555

B-Y-R-D

เรื่องจิ้ง(จก)ผ่านคอม

เพื่ออรรถรสในการเล่าเรื่องและการอ่านสำหรับบทความนี้ จึงขอมีคำไม่สุภาพ หยาบคายบางชนิด....เด็กที่มีสมองต่ำกว่าที่จะแยกแยะได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดีเป็นก็แนะนำว่าปิดคอมแล้วไปซื้อมอไซค์มาแข่งกับเพื่อนๆ น่ะ

สัตว์ที่เกลียดที่ขยะแขยงของผมคือจิ้งจก ตุ๊กแกก็เหมือนกัน(ขนาดแค่เขียนแล้วนึกภาพเม่งก็ขนลุกแล้ว) ตุ๊กแกที่ยังไม่กลัวเท่าจิ้งจกน่ะ แต่ทั้งสองอย่างนี่ก็สามารถทำให้ผมร้องไห้ได้ถ้ามีคนมาแกล้งแน่ๆ (เหมือนตอนโหน่ง ชะชะช่า โดนแกล้งในชิงร้อยชิงล้าน) เจอแมลงสาบนี่เฉยๆ มากน่ะเหยียบคาตีนก็ทำมาแล้ว ชิวมาก แต่เหมือนที่โบราณจะเคยบอกไว้ ยิ่งเกลียดอะไร เม่งก็ยิ่งเจอ

ทำไมถึงกลัวจิ้งจกทั้งๆ ที่เทียบสเกลกับตัวเองแล้วคนล่ะเรื่องเลย........ย้อนกลับไปตอนเด็กๆ นู่นสมัยที่อยู่บ้านญาติที่ต่างจังหวัด ซึ่งในแต่วันก็จะตลอนไปเรื่อย เล่นจนกว่าพระอาทิตย์จะตกดินนั้นแหละ จำได้แม่นว่าวันนั้นเป็นช่วงเย็นๆ หลังจากวิ่งเล่นมาทั้งวัน ด้วยความที่หิวน้ำมาก แล้วก็รีบเดินไปหลังบ้านไปโต๊ะกินข้าวก็ไปหยิบขวดน้ำ (อธิบายก่อนว่าขวดน้ำต่างจังหวัดตอนนั้นจะเป็นกระบอกทรงกลม เวลาเปิดฝาจะต้องหมุน) ด้วยที่เม่งหิวน้ำมาก โหยสุดสุดก็หยิบขวดน้ำจากกองขวดน้ำเยอะๆ ที่บ้านกรองเอาไว้เตรียมใส่ตู้เย็น มาเปิดฝาแล้วยกดื่มเลย อึกใหญ่ๆ ให้เม่งชื่นใจกันไปเลย...............แต่แทนที่จะได้ชื่นใจเสือกเป็นทุกข์ใจทันทีเพราะเมื่อตอนยกดื่มกินซัดโฮกเข้าไป แต่พอลืมตาขึ้น ไอ้เหี้ยยยยยย จิ้งจกเม่งเกราะที่ฝาขวดที่เรากำลังกินอยู่ (ซึ่งตอนที่เห็นมันยังอยู่ที่ขวด) ตาเราเห็นเลยน่ะว่าตามันก็มองเราอยู่ ตอนนั้นช่วงเวลาที่เห็นมันทั้งๆ ที่มันไม่กี่วินาทีหรอก แต่รู้สึกเม่งยาวนานมากๆๆๆๆๆ เหมือนเวลาเม่งแทบจะหยุดนิ่งเลย ชั่วแวบเดียวหลังจากสติมาปุปไอ้เหี้ยนั่น(ต้องเรียกไอ้จิ้งจก) เม่งก็หนี....หนีไปไหนไปยังไง เม่งก็หนีวิ่งไต่มาที่ปากขวดซึ่งปากกูเนี่ยยังคาขวดอยู่เลย !!!!!!!! วิ่งมาไต่ริมฝีปากขึ้นจมูกขึ้นหน้าผาก ตอนนั้นผมเม่งร้องตุ๊ดแตกมากอ่ะเขวี้ยงขวดน้ำปัดผมปัดตัวกลัวมันจะไต่ลงไปข้างหลังเข้าเสื้อมากๆ จนตอนนั้นจำได้เลยว่าแทบจะไม่ได้กินน้ำข้างนอกอีกเลย กินในตู้เย็นและรินแก้วตลอด

นับตั้งแต่นั้นมาก็เป็นเด็กมีปัญหากับจิ้งจกมาโดยตลอด ใครมาแกล้งนี่กูด่าเสียหมด เวลาผ่านไปเร็วเหมือนจิ้งจกมาร้องทัก...โตขึ้นเป็นหนุ่มหัวนมแตกพานประมาณมอหนึ่งหรือมอสองนี่แหละ เห็นจะได้ ซึ่งเวลานั้นหน้าที่ก่อนจะไปเล่นหรือไปจีบหญิงที่ไหนก็แล้วแต่เมื่อกลับบ้านแล้วก่อนออกจะต้อง “หุงข้าวให้เรียบร้อย” หน้าที่ประจำหลักๆ คือหุงข้าว แล้วเย็นวันนั้นด้วยความกระหายอยากไปเล่นเกมมากๆ จึงพอมาถึงบ้านเอากระเป๋าวางเปลี่ยนเสื้อวิ่งไปเอาหม้อข้าวตักข้าวซาวข้าวแล้วเปิดหม้อข้าวใส่หม้อข้าวเสียบปลั๊กแล้วกดหุง.......”แป๊ะ” เสียงหม้อข้าวดีด “อ้าวทำไมเม่งดีดว่ะ เหี้ยหม้อเป็นไรเนี่ยกูรีบน่ะมึง” ก็เลยเปิดหม้อข้าวมาดู..ก็ไม่มีไรนี่หว่าปิดหม้อข้าว กดอีกที “แป๊ะ” เสียงดีดดังขึ้นอีก เหี้ยไรว่ะเนี่ยยยยยยยยยย ก็เปิดหม้อข้าวแล้วปิดใหม่แล้วกดอีกที โอเคครั้งที่สามได้ปกติไม่มีอะไร ก็ไปนั่งเล่นเกม เวลาผ่านไปประมาณสักพักก็มีเสียง “โป๊ะ”มาทีนึงแล้วก็ได้กลิ่นไรไหม้ๆ ว่ะ ก็เดินไปที่หม้อข้าวไม่มีไรเกิดขึ้น แล้วข้าวก็ดีดข้าวสุกพอดีเลยเปิดหม้อข้าวเผื่อเอาทัพพีมาคลุกให้ข้าวมันระอุไม่แฉะ พอยกหม้อหุงข้าวมาเท่านั้นแหละ เหยดเข้!!!!!!!! จิ้งจกเม่งอยู่ในหม้อหุงข้าวแล้วหม้อที่ใส่ข้าวไปทับมันติดกับที่ให้ความร้อนกลายเป็นเผาเม่งทั้งเป็น......สรุปวันนั้นรอแม่เพื่อให้แม่เอาจิ้งจกออกแล้วก็โดนด่าในที่สุด ซึ่งตอนแกะจิ้งจกออกเม่งเป็นรอยไหม้รูปมันเหมือนเวลาเกิดอุบัติเหตุแล้วตำรวจเอาชอร์กมาเขียนอย่างนั้นแหละ

เรื่องหม้อข้าวนั้นประมาณมอต้น แต่เรื่องนี้เกิดตอนมอปลาย(ยังมีอีกๆ อย่าเพิ่งทำหน้ายี้) ตอนนั้นกำลังจะอาบน้ำซึ่งก็เดินไปห้องน้ำแล้วก็ปิดประตู...อ้าวทำไมปิดประตูไม่ได้ว่ะ เป็นเหี้ยไรอีกเนี่ย ก็เลยพยายามกะรแทกปิดเพื่อล๊อคกลอน ครั้งที่สองกระแทกอีกอ้าวไอ้ห่าไม่ได้ เหลืออดก็เลยดึงประตูแรงๆ จนล๊อคได้สำเร็จ ก็อาบน้ำอาบท่าสบายตัว...แต่เสือกไม่สบายใจตรงที่ว่าพอเปิดประตูจังหวะแหงนไปเห็นพานพับของประตูห้องน้ำเสือกมีจิ้งจกตายอยู่ตัวแบนๆ ที่มันตายเพราะโดนทับนี่แหละ เพราะปิดประตูไงแล้วจังหวะเม่งอยู่ระหวังประตูกับขอบบานพับพอดี เหยดดดดดดดดดดด ทำซะขนลุกแบบสุดสุด สุดท้ายก็หนีไม่พ้นแม่ที่มาหยิบจิ้งจกออกจากประตูไปทิ้งในขยะ โอ้วแม่กูแกร่งมากๆ ......เรื่องก็ดูเหมือนจะจบแค่นี้ แต่เมื่อเร็วๆ นี้ตอนอยู่ออฟฟิค หลังฝนตกก็เดินทางที่ระเบียงริมทางเดินได้เปิดกระจกเลื่อนออกให้ลมเข้ามา สังเกตว่าตรงรางเลื่อนมันมีอะไรกระดิกๆ ทีแรกคิดว่าหนอนแล้วดันไปเลื่อนกระจกจนหนอนขาดสองท่อน.....ไม่ต้องทายหรอกฮะ เม่งเป็นหางจิ้งจกนี่แหละ ดิ้นพล่านเลย ยังไม่ทันที่กูจะร้องแหกปากตาก็ไปเห็นลำตัวที่มันกำลังกระเสือกกระสนอยู่ครึ่งตัว แม่..จ้าวววววว นี่เพราะกูใช่ไหมเนี่ยกูเลื่อนกระจกจนทำให้ตัวเม่งขาดเนี่ย ทำไรไม่ถูกจริงๆ ตอนนั้นได้แต่ร้องเรียกให้คนมาดูแล้วก็กลับไปนั่งกำลังงานแบบดีไซน์ไปบ่นไปจริงๆ

บทความอันนี้จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าวันนั้นกูไม่ไปเลื่อนกระจกเนี่ย แต่พอเจอแบบนี้เลยขอบ่นหน่อยเหอะ สัตว์อะไรยิ่งเกลียดเม่งยิ่งเจอ เจอแบบนี้เจองู เจอเสือให้มันฉกกัด หรือขย้ำตายไปเลยดีกว่า ขอจบแบบห้วนๆ แบบนี้แหละน่ะ พิมพ์ไปคิดไปเม่งขนลุกว่ะ

เมื่อรู้สึกว่ารัก

MON 23/01/2012

วันพฤหัสบดีที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2555

หาสุขใส่ตัว

เมื่อช่วงสิ้นปี (2554) นึกเบื่อๆ เซ็งๆ อยากได้เสื้อใหม่มาใส่สักตัว แต่เนื่องจากเริ่มลงพุง(มานมนาน) จนหาไซส์ใส่ที่ลายสวยๆ ถูกใจไม่ได้สักทีเลยได้นั่งทำลายเองซะเลย....


ส่วนตัวเป็นคนที่ลายเสื้อที่แบบว่าเรียบๆ ง่ายๆ ยิ่งเฉพาะถ้าเป็นพวกลาย typo จะกริ๊ดมากๆ เลยมานั่งนึกว่าจะทำลายอะไรดี ซึ่งก่อนหน้านี้เลยทำเสื้อลาย "พอเพียง" ไปแล้ว โดยที่เอาตัวอักษรภาษาอังกฤษมาดักแปลงเป็นภาษาไทย เช่น ตัว พ. ก็เอาตัว W มาแทน นึกไปนึกมาเลยเอาคำว่าพอเพียงอีกดีกว่าเพราะรู้สึกดีกับความหมาย..มันเรียบง่ายดี เหมาะกับลาย แต่ทีนี้เลยทำเป็นเป็นภาษาคาราโอเกะแทนเป็นคำว่า "porpiang" โดยที่ font จะเป็น font เฮลเวติกา (Helvetica) เพราะส่วนชอบมากกับ font นี้ แล้วพอดีในวันที่ไปทำจังหวะมีเพื่อนไปด้วย แล้วพอเห็นลายก็ชอบเลยอยากได้บ้าง แต่เพื่อไม่ให้เหมือนกันเท่าไร เลยของเป็นสกีนข้างล่าง ซึ่งของผมจะสกีนข้างบน บนอกโดยที่สองแบบนั้นจะเอียงไปทางซ้ายนิดๆ......ดีใจมากๆ ที่มีคนชอบลายเหมือนเรา


หลังจากเว้นไปเกือบๆ อาทิตย์ถึงวันมารับเสื้อ..สวยกว่าที่คิดไว้มาก ทั้งขนาด font แล้วสีขาวที่ตัดกับสีดำของเสื้อมันเป๊ะมาก อดปลื้มไม่ได้ พอเพื่อนเห็นก็กริ๊ดเหมือนกัน ชอบมากแถมบอกอีกว่าถ้าอแกแบบไรมาอีก จะได้เอาไปทำเสื้อด้วย ^^ โอ้ววววววว ทำเสื้อลายที่ชอบแล้วใส่เองนี่มันมีความสุขมากๆ เลยน่ะ แต่ทำแล้วมีคนชอบนี่มัน...โ ค ต ร จะมีความสุขหลายเท่าตัวเลย


ปล.รูปนี้เป็นรูปของเพื่อนที่สกีนข้างล่าง (ขอบคุณสำหรับรูปถ่ายมากอุ้ย)

วันอาทิตย์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดีที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2555

miss u

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

ams

วันจันทร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2555

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

YOUR TURN !!!

อะแฮ่ม...วันนี้มีเรื่องยิ้มๆ ที่อยากจะให้เจอเข้ากับตัวบ้างจริงๆ

เรื่องมีอยู่ว่าช่วงประมาณสามปีที่ผ่านมาเพื่อนผมก็ได้เลิกรากับแฟนโดยที่สาเหตุคือ..."ไม่มี"!!!! แต่หลังจากพูดคุยจับใจความคร่าวๆ แล้วอารมณ์ประมาณว่าเพื่อนผมเป็นคนที่เร็วในการใช้ชีวิต ส่วนอีกฝ่ายก็เป็นคนที่นิ่งๆ เรื่อยๆ กับเฉือยๆ ยังไงก็ได้ เลยทำให้รู้สึกไม่พอดีกันฝ่ายเพื่อนผมเลยเลิกกันไปอย่างเงียบๆ โดยที่แฟนเพื่อนก็ไม่ว่าอะไรเพราะต่างคนต่างรู้เหตุผมซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี แต่ช่วงเวลาที่เลิกกันสองคนนี้ก็ยังคุยปกติเพหมือนเดิมทั้งเรื่องงานและเรื่องส่วนตัว..โดยที่เรื่องส่วนตัวก็น้อยลงตามระยะความห่างไกลกันตามสถานะ เวลาผ่านไป แต่ล่ะคนมีโอกาสใช้ชีวิตไปตามเส้นทางปติ อีกคนเรียนต่อ อีกคนทำงาน ตามอัธยาศัยกันไป แล้วช่วงเวลานั้นต่างคนก็ต่างมีคนรักใหม่ที่ต้องเรียนรู้กันใหม่เพิ่มมากขึ้นผ่านไปสองปี....ไวเหมือนโกหกหลอกแฟน


เพื่อนผมก็เลิกแฟน(ใหม่) ได้ไม่กี่วัน แฟนเก่าเพื่อนก็เลิกกับแฟน(ใหม่) (อย่าเพิ่งงงน่ะ) ก็เลิกเกือบไล่เลี่ยกันโดยมิได้นัดหมายแต่อย่างไร แล้วบังเอิญ...บังเอิณจริงๆ ก็มีโอกาสได้เจอกันได้พูดคุยกัน ทั้งสองคนผ่านอะไรมาในช่วงที่เลิกกันไปสองปี เพื่อนผมจากที่เป็นคนเดินเร็วตัดสินใจปุปปับก็เป็นคนใจเย็นขึ้นเริ่มผ่อนคันเร่งลง ส่วนอีกคนก็แอคทีฟมากขึ้นเนื่องจากการทำงานและเจอผู้คนมากขึ้นเลยทำให้เหยียบคันเร่งแซงตัวเองขึ้นจากแต่ก่อน....."อีกคนลดลง อีกคนเพิ่มขึ้น"


การเจอกันครั้งนี้ เพื่อนผมบอกกับผมเลยว่าเป็นเหมือนการเจอกันที่ลงตัวที่สุด และประเด็นคือเมื่อต่างคนต่างออกไปหาสิ่งที่ต้องการแต่ล่ะฝ่ายกันเมื่อไปหาแล้วไม่ได้ดั่งใจหวังเลยทำให้ย้อนมาทบทวนหลายๆ อย่างแล้วเมื่อย้อนทบทวนแล้วดันทะลึ่งมาเจอกับคำว่า"พอดี"อีก แน่นอน..บทสรุปครั้งนี้ก็ทำให้เพื่อนได้ "Return" กับแฟนอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เหมือนจะเป็นนิมิตรที่ดี(มาก) เพราะอย่างที่บอกต่างคนต่างลดและเพิ่มในสิ่งที่ตัวเองมีแล้วจังหวะมันพอดิบพอดีซะนี่ อะไรๆ บางครั้งเลยไม่ต้องเป็นการเริ่มนับหนึ่งใหม่ซะทีเดียว


หลังจากฟังมันพูด ยิ้มให้กับมันไม่รู้ตัวบอกตรงๆ อิจฉาโคตรๆ กับรู้สึกแบบนี้เพราะตอนนี้ผมโคตรจะอยากเป็น BatMan มากๆ (คำนี้เป็นคำแซวกันมากจาก BatMan Return) ไม่รู้ว่าสถานการ์ณแบบนี้จะเข้าตัวผมไหมหรืออาจจะไม่มีวี่แววก็เหอะ แต่มันก็รุ้สึกว่าบางสิ่งบางอย่างมันไม่มีหรอกปฎิหาร์ย ทุกอย่างที่ทำทุกอย่างที่พูดมันมีเหตุและผลที่จะทำให้เกิดสิ่งแบบนี้ได้ เหมือนมะเดี่ยวที่เคยบอกไว้ในเรื่อง "รักแห่งสยาม" ว่าที่ใดมีรักที่มันย่อมมีหวัง....แหม๋ จบด้วยรักแบบนี้ หาไรขมขื่นแก้เลื่ยนซะทีก็ีดี