วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

MOM "Memory Of Me"


ความทรงจำที่ 1

วันนี้วันที่ 24 เป็นวันศุกร์ของเดือนแห่งความรัก
พรุ่งนี้วันพระ...
ถ้าเป็นวันพระของปีที่เคยผ่านๆ มา ก็คงไม่มีอะไร นอนคุดคู้อยู่ในผ้าห่มต่อไป แต่เดี๋ยวนี้ไม่แบบนั้น ทุกวันพระ ผม อืมกูนี่แหละต้องตื่นแต่เช้าไปวัดเพื่อตักบาตร... เออ อ่านไม่ผิดหรอก ทุกวันนี้ยังขำตัวเองอยู่เลยว่าคนอย่างกูเนี่ยน่ะจะไปตักบาตร ถ้าไม่มีเหตุให้ไปจริงๆ ทุกวันนี้เพิ่งเข้าใจว่าตัวเองนี่แหละ ที่เคยคิดว่าเป็นคนใจแข็งแน่วแน่สุดๆ กลับกลายเป็นคนที่อ่อนไหวกับทุกสิ่งได้อย่างซีเรียสเลย ทุกอย่างแม่งมีที่มาที่ไป ทุกอย่างแม่งมีเหตุและผล ทุกอย่างแม่ง..

ย้อนกลับไปประมาณเดือนสิงหาปี 59 (เดาๆว่าประมาณนั้น) แม่ที่ปกติเป็นคนที่แพ้อากาศได้ง่าย เจอฝุ่น หรืออากาศเย็นลงหน่อยก็จะเริ่มไอ จมูกฟึดฟัดแหละ แต่นี่ผิดสังเกตมากก็เริ่มไอบ่อย และแม่เริ่มบ่นๆ ว่าปวดตรงหัวไหล่กินยาก็ไม่หายสักทีหลายอาทิตย์เลย...จนวันนึงพาไปหาหมอที่ร.พ.เจ้าพระยา เพราะอยากรู้ว่าเป็นอะไรมากกว่านี้ไหม แม่ก็ให้หมอสแกนหลังปกติ ผลสแกนก็ไม่มีอะไร คาดการณ์ว่าเป็นกล้ามเนื้อเนื่องจากทำงานหนักหรือก้มหรือเงยอะไรนี่แหละ จากงานบ้าน (หลักๆ น่าจะมาจากนั่งซักผ้านี่แหละ เพราะแม่จะซักผ้าแบบมือทุกครั้งไม่อยากได้เครื่องเพราะเค้ายืนยันมาตลอดว่าเค้าซักสะอาดกว่า เมื่อก่อนเด็กๆ ก็เป็นเบิ๊ดเป็นพี่ชาย..พี่ฮาร์ทนี่แหละที่ผลัดกัน แต่พอโตขึ้นทำงาน เค้าก็ทำให้มาตลอด) ส่วนแพ้อากาศได้ยามากินเหมือนเดิม

ผ่านไประยะนึง...แม่ยังไออยู่ ไอแห้งๆ แล้วก็ยังมีปวดหัวไหล่บ้างบางครั้ง จิบยาแก้ไอไปเกือบขวดก็เออกลับไปหาที่เจ้าพระยาอีกที ทีนี้ตรวจให้ละเอียด ผลเอกซ์เรย์ออกมาก็มีจุดๆ ผิดปกติที่ปอด ซึ่งหมอบอกว่าน่าจะเป็นวัณโรคเลยแนะนำให้ไปตรวจที่ร.พ.ทรวงอก เพราะถูกกว่าเจ้าพระยาแน่ๆ แล้วโรคนี้ต้องตรวจละเอียดระยะยาวน่าจะประหยัดเงินมากกว่าแน่นอน...หลังจากวันนั้นก็เริ่มไปตรวจที่รพ.ทรวงอก ก็ตามสูตรของร.พ.รัฐ มันไม่ได้รู้ผลทันทีหรอก ก็เป็นขั้นตอนไป เริ่มที่อาทิตย์นี้ตรวจฉี่ อีกอาทิตย์ต่อมาตรวจเสมหะ...ต่อเนื่องไปจนเป็นเดือนได้ จนมาถึงวันที่ได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ..จำได้ดีวันนั้นไปกับแม่ขับรถออกไปกลับแม่ตอนเช้า นั่งรอหมอ กว่าจะหมอเรียก กว่าจะทำไรเสร็จ จำได้ว่าตัวเองได้เดินเล่นนอนเล่นรอบร.พ.ไปเยอะมาก จนเสร็จบ่ายๆ ก็พาแม่กลับบ้าน รอผลตรวจทางร.พ.จะโทรมาแจ้ง ขากลับยังจำได้ทุกวันนี้ แวะซื้อข้าวต้มปลาให้แม่ไปกินบ้านอยู่เลย

จนมาถึงวันที่หมอนัดตรวจ..แม่นั่งแท๊กซี่ไปคนเดียว เพราะแม่คิดว่าไปแค่เอาผลตรวจเฉยๆ พ่อก็ไปทำงานหรืออยู่บ้านไม่แน่ใจ พี่ฮาร์ทอยู่อีกบ้านนึงกับพี่โจ้-นะริปกติ ส่วนผมก็อยู่ออฟฟิศ ทำงานปกติ พอประมาณ 10 โมงกว่าๆ แม่โทรมาบอกว่าจะกลับบ้านแล้วน่ะนี่อยู่รถแท๊กซี่จะกลับบ้าน
ผม : “ฮัลโหล แม่เป็นไงหมอตรวจว่าไงบ้าง เป็นอะไรเยอะไหม”
แม่ : “เดี๋ยวว่ากัน กลับมาบ้านค่อยเล่า นี่อยู่บนแท๊กซี่”
ผมก็บอกว่าโอเค งั้นเจอที่บ้านเลิกงานก็วางหูไปปกติ

ประมาณ 20 นาทีต่อมา...พ่อโทร ด้วยเสียงคลุมเครือมาก แล้วถามว่า
“แม่ได้บอกไหมว่าเป็นอะไร” “ไม่ได้บอกอ่ะ แม่บอกค่อยบอกตอนเจอที่บ้านมีไรป่าวพ่อ”
“แม่เค้าเป็นมะเร็งน่ะ”.........
.
.
.
.
.
.
ความทรงจำที่ 2

“แม่เค้าเป็นมะเร็งน่ะ.....แต่เด๋วค่อยว่ากันที่บ้าน” 
“มะเร็งอะไรพ่อแล้วระยะที่เท่าไร” 
“มะเร็งตับ ระยะที่เท่าไรแม่ยังไม่บอก (ซึ่งทีแรกได้ยินเป็นแบบนั้นจนได้รู้ทีหลังจากแม่ว่าเป็นมะเร็งที่ปอด” 

หลังจากพ่อพูดจบ สิ่งแรกที่ทำคือเปิดเนตว่าไอ้เหียมะเร็งที่แม่เป็นอยู่ มันจะเกิดอะไรต่อได้บ้าง 
สักพักเป็นตาพี่ชายที่โทรมา โทรมาถามว่ารู้เรื่องแม่ยัง ก็เริ่มได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่ชาย ตัวผมเองก็ได้บอกไปแค่ว่า เด๋วเจอกันตอนเย็นที่บ้านล่ะกัน วางหูไป ก็ยังเปิดเนตอยู่ สักพักรุ่นพี่ที่ออฟฟิศเห็นว่าเปิดเนตหาเกี่ยวกับมะเร็งอยู่ก็ได้ถามว่าใครเป็น หลังจากตอบไปสั้นๆ ว่า “แม่เป็น” หลังจากนั้น น้ำตาแม่งก็ออกมาจากไหนไม่รู้ 

จนสักพักก็สงสัยว่าที่แม่เป็นระยะเท่าไร ก็เลยโทรหาร.พ.ทรวงอกว่าคนไข้ชื่อนี้เป็นมะเร็งระยะไหน ก็ได้คำตอบที่ไม่แน่ใจของเจ้าหน้าที่ อย่างน้อยๆ ก็รู้ว่าไม่ระยะที่ 3 ก็ 4 เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าอยู่ในระยะต้นๆ (1 หรือ 2) ร.พ.จะกักตัวไว้เพื่อรักษาต่อ แต่ถ้าร.พ.ส่งตัวไปที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติก็แปลว่าอยู่ในระยะที่ 3 หรือ 4 แล้ว 

สาบานเลยว่าวันนั้นตอนอยู่ที่ออฟฟิศใจแม่งเคว้งมาก โทรหาปิ๊ก หาอะไรไปเรื่อยในเน็ตจนเลิกงานหรือกลับบ้านก่อนไม่แน่ใจ พอมาที่บ้านก็ได้เจอหน้าแม่ ก็ยังยิ้มๆ กัน จำได้ว่าตัวเองฟอร์มๆ มาก ว่าเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ก็ถามๆ แม่ว่าระยะที่เท่าไร หมอบอกไหม แล้วนัดไป สถาบันมะเร็งวันไหน แม่ก็ยิ้มแบบเจือๆ ว่าระยะที่ 3 แล้ว พอได้ยินสิ่งที่บอกแม่ไปซึ่งตอนนี้อยากจะตบปากตัวเองมากว่าน่าจะมีอะไรพูดมากกว่าคำแบบนี้ ถามแม่ว่า “แล้วรู้ไหมระยะสามหมายถึงอะไร แม่โอเคไหม” แม่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วต้องมานั่งฟังไอ้เบิ๊ดบ่นอีกว่า เนี่ยเห็นไหม อยากให้ไปตรวจร่างกายเแม่ก็ไม่ยอมไปเลย ไม่อยากไปอ้างเปลืองเงิน อะไรต่อมิอะไรเรื่อย.......

หลังจากเย็นวันนั้นก็เริ่มวางแผนเกี่ยวกับแม่ การกินอาหารการทำกิจกรรมต่างๆ ก็คุยกับแม่ว่า เราจะไม่ปล่อยให้แม่ไปซื้อของคนเดียว เราจะไปซื้อผักที่สด งดเนื้อสัตว์ แล้วก็กินอาหารที่เสี่ยงหรือเพิ่มอาการต่าง สาบานได้ว่าไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย รู้สึกตัวเองแม่งโคตรไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไร

หลังจากนั้น น่าจะเป็นหลังจากที่รู้ว่าตัวแม่เป็นมะเร็ง พี่โจ้พี่สะใภ้กับม๊าแม่ของพี่โจ้ ก็มาเยี่ยมทันทีที่รู้ว่าแม่เป็นยังไง พอกลับมาจากออฟฟิศ แม่ก็บอกกับผมว่า ”เนี่ย เบิ๊ด แม่พี่โจ้จะพาแม่ไปอยู่ด้วย เบิ๊ดโอเคไหม คิดว่าไง” หลังจากที่ได้ยินคำนี้บอกกับแม่ทันทีเลยว่า “โอเคน่ะ แล้วแต่แม่เบิ๊ดไม่ซีเรียสหรอ ก็ดีน่ะ เพราะอยู่นี่ไม่มีคนดูแลอาหารให้แม่เลย เบิ๊ดทำไม่เป็น แถมแม่มีนะริกับพี่ฮาร์ทอยู่ด้วยอีก อยู่นี่กว่าเบิ๊ดจะเลิกงานก็ดึกแหละ” 

จำได้ว่าวินาทีนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรเลย นอกจากรู้สึกว่าสบายดี อยู่บ้านคนเดียวไม่เครียดที่แม่จะเหงา แถมมาคิดอีกว่า เออเด๋วกูดูแลบ้านแทนแม่เอง แม่จะได้ไม่มาจับต้องอะไร ซึ่งการที่แม่ไปอยู่กับม้า แม่ของพี่สะใภ้นั้นถือว่าดีมากๆ สำหรับแม่ ทุกๆ เรื่อง ทั้งอาหารที่แม่จะเปลี่ยนมากินแต่ผักที่สดไม่กินเนื้อสัตว์ ได้ออกกำลังกาย ได้อยู่ในจุดๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปทำงานบ้านนั่นนี่ (ซึ่งปล่อยเป็นหน้าที่เบิ๊ดไปเลย) ได้เจอนะริกับพี่ฮาร์ทที่ทำงานอยู่ที่บ้านอยู่แล้วเป็นเพื่อนไปในตัวอีก 

เราคุยกันทั้งครอบครัว พ่อ แม่ ลูกทั้งสองคนไว้ว่า แม่มาอยู่ที่นี่ แม่ต้องเตรียมตัวทำคีโมรักษามะเร็ง ก็ต้องทำร่างกายให้พร้อม ให้เต็มที่จนกว่าจะถึงเวลานัดของหมอคุยเรื่องการรักษา ในเดือนธันวาคม(2559) 

วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

6 Anniversary




หกขวบแล้ว หงุดหงิดหกขวบแล้ว....."หงุดหงิด" หมาปั๊กหน้าดำตัวเมียและตัวอ้วน นานแล้วที่ไม่ได้เจอกันเลยเกือบ 4 ปีแล้ว อยากรู้ว่าป่านนี้มันจะจำได้ไหมว่าเคยมีเบิ๊ดอยู่ใกล้ๆ 4 ปีไม่รู้ว่านานเกินไปที่จะยังจำกันได้ ไม่ได้ถามหงุดหงิดน่ะ ถามตัวเราเองนี่แหละ ปีไหนกันที่เราจะลืม กลัวจะลืมมันโดยที่ไม่รู้อะไรอีก ไม่ต่างกับกลัวที่หงุดหงิดจะลืมเรา...ความห่างไกลระเวลามันมากกว่าความใกล้ชิดกัน

ทุกๆ วัน จะมีช่วงเวลาแวบขึ้นมาให้สมองให้คิดถึงหงุดหงิด อาจเป็นเพราะมีหมา หรือรูปปั๊กวนเวียนผ่านมาตลอด ในออฟฟิคและที่บ้าน กระทั่งรถยนต์ ยังมีสิ่งของที่ทำให้คิดถึงหงุดหงิดอยู่ตลอด....เคยอ่านในหนังสือเจอ มีคำที่ว่า ของบางอย่างมันไม่ได้มีค่าที่เราควรจะเก็บไว้เลย แต่มันสำคัญที่ว่ามันคือสิ่งที่ทำให้คิดถึงสิ่งที่มีค่า แต่รูปโพลารอยด์ที่ถ่ายในวันสุดท้ายที่เราได้เจอกัน ชิ้นนี้แหละท่มีค่าที่สุดและมันยังทำให้คิดถึงสิ่งที่มีค่าที่สำคัญอีกด้วย

หงุหงิด...หงุดหงิด หกขวบแล้ว สิ่งที่เบิ๊ดทำได้คือการไปซื้อขนม ของเล่น ของใช้ทั่วไป แล้วใส่พ้ศดุไปให้ ในแต่ล่ะปี ถือเป็นไฮไลต์ประจำปีที่งานนึงของเบิ๊ดเลยน่ะ เป็นอีก 1 วันที่ได้คิดถึงแกเต็มๆ เป็นอีก 1 วันที่ได้คิดว่า 4 ปีที่ป่านมาแต่จะตัวขนาดไหน จะซนขนาดไหน....รักแกว่ะ

วันนี้ วันที่ 21 เบิ๊ดนั่งพิมพ์บล๊อกนี้ในตอนเช้า เช้าที่ตื่นมารู้สึกอากาศมันยังเย็นอยู่ ไม่รู้ว่าของเล่นที่ส่งไปนั้น ป่านนี้จะถึงแล้วหรือเปล่า...ขอให้มันได้ใช้ ขอให้มันได้ชอบ ขอให้มันรู้ว่าเบิ๊ดส่งมา

หงุดหงิด เบิ๊ดคิดถึงหงุดหงิด....ขอให้หงุดหงิดมีความสุขมากๆ สุขภาพแข็งแรง ไม่รู้จะอวยพรอะไร นอกจากขอให้แกไม่ลืมกันก็พอ ขอให้เราได้มีโอกาสเจอกันน่ะ เบิ๊ดก็ยังทำแบบนี้ทุกๆ ปีน่ะ ไม่ลืมหงุดหงิดหรอก...ลูกสาวนี่น่า ^______^

ปล.1 ขอบคุณเพื่อนสองสามคนมากน่ะ ที่ยังส่งมารูปของหงุดหงิดมาให้ดู สิ่งเหล่านี้แหละที่ยังหล่อเลี้ยงให้ความคิดถึงมันสมบูรณ์ ได้เห็นความเติบใหญ่ของหงุดหงิด ขอบคุณมากครับ ดีใจทุกครั้งที่ได้เห็น

ปล.2 คนนี้สำคัญ "ปิ๊ก" ขอบคุณปิ๊กมากที่เข้าใจว่าหงุดหงิดนั้นสำคัญกับเบิ๊ด ขอบคุณที่รู้ว่าเบิ๊ดทำอะไรก็แล้วแต่ในเรื่องของหงุดหงิด และปิ๊กก็ยังสนับสนุน ดีใจที่ปิ๊กเข้าใจและดีใจที่มีปิ๊กอยู่ข้างๆ ขอบคุณครับ

ปล.3 คิดถึงหงุดหงิด คิดถึงมากๆ รักแกว่ะไอ้หมาหน้าดำ

วันพฤหัสบดีที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2558

h a p y b y r d a y




ขณะที่กำลังเขียนบล๊อคนี้...ก็กำลังเข้าสู่ "วันแรงงาน" วันที่หลายๆ คนกำลังหยุด ได้นอนดึก ดูหนัง แดกเหล้าอะไรก็แล้วแต่ที่เม่งสนุกกัน

ผ่านวันเกิดไปได้สองวัน วันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมาคือวันเกิด......ปีนี้ ตอนนี้ อายุ "สามสิบ" แล้วววววว ย้อนกลับไปตอนเด็กๆ ตอนที่ได้ยินเพลง "สามสิบยังแจ๋ว" ของนักร้องโคตรๆยอดนิยมที่ชื่อ "ยอดรัก สลักใจ" รู้สึกเลยว่าตอนนั้นคำว่า สามสิบยังแจ๋ว....สามสิบเม่งดูแก่มากๆ คือคิดว่ากว่าเราจะสามสิบเม่งนานมากๆ มาวันนี้ เวลาผ่านไปเหมือนโกหก..............ตอนนี้สามสิบแหละ (ฮา) 

อายุตอนนี้มันคือเวลาที่(ควรจะ)เริ่มสร้างครอบครัวสร้างความมั่นคงแล้วใช่ไหม พอย้อนมาดูตัวเองนอกจากพุงที่มั่นคงแล้ว กูมีอะไรอีกว่ะที่มั่งคงเนี่ย พูดแล้วก็คงหันกลับมาดูอะไรๆ หลายอย่างสักที สิ่งที่เราอยากจจะทำเนี่ย เรากำลังทำมันอยู่หรือยัง ถ้ายังทำเลยไหม จะรอตอนสามสิบห้า หรือเท่าไรอีก ยังจะพูดว่ารออีกไหมหรือยังไง

ตอนนี้หลังจากที่เขียนบล๊อกนี้เสร็จ ของขวัญที่ให้กับตัวเองปีนี้คงจะเป็น "ความฮึด" จะลุกขึ้นมาสิ่งที่อยากจะทำสักที

ขอบคุณทุกคนมากๆ ฮะ ที่อวยพรมาให้ ขอให้พรพวกนี้สะท้อนกลับไปด้วยน่ะครับ

ปล. (เป็นพิเศษ) ขอบคุณปิ๊กมาก ที่อดทนความรั้น ความดื้อ ความ...ของข้าพเจ้ามาตลอด ปีหน้าจะลดลง(จนแถบไม่เหลือเลยครับบบ) 55 ขอบคุณที่เข้าใจในการกระทำของเบิ๊ด ขอบคุณมากๆ 

ปล.2 คิดถึงหงุดหงิดเหมือนเดิม ถึงแสดงออกน้อยลง แต่เชื่อได้ความคิดถึงไม่น้อยลงกว่าเดิมเลย ไอ้หมาหน้าดำ!!!!!

วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2557

๐๕ ๑๒ ๒๕๕๗


"ทรงพระเจริญ"

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

5 Anniversary


นับหนึ่ง นับสอง นับสาม นับสี่ นับห้า......หงุดหงิด ห้าขวบแล้ว "หมาปั๊ก หน้าดำ ลูกสาว ที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน" นี่คงเป็นคำอธิบายเมื่อเวลามีคนสงสัยว่า "หงุดหงิด" คือชื่ออะไร คือใคร??

วันที่ 21 เดือน 11 (ในขณะที่เขียนคือวันพรุ่งนี้ที่กำลังจะก้าวไปเป็นวันนี้) เป็นวันเกิดหงุดหงิด วันที่รู้สึกคิดถึงมันมากที่สุด วันที่รู้สึกตื่นเต้นกับความรู้สึกที่ว่าเราจะคิดถึงหงุดหงิดแบบไหน...2 ปีกว่าแล้วมั่งที่ไม่ได้เจอกันอีกเลย ถ้าจำไม่ผิดก็คงเป็นวันเสาร์ วันที่ทำเสื้อยืดลายหงุดหงิดเสร็จ แล้วเอาเงินไปบริจาคคนที่ดูแลหมา วันนั้นเล่นกับมัน กอดมัน คลุกคลีอยู่กับมัน โดยที่ไม่เคยคิดเลยว่าวันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่จะได้เจอ....สารภาพเลยว่า ถ้ารู้ว่าครั้งนั้นเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน ฉันคงจะคุยกับมันให้นานมากกว่านี้ กอดให้มันนานมากกว่านี้ มากกว่าที่เคยทำผ่านๆ มา…แต่เม่งก็ไม่เป็นไม่ได้แล้วแหละที่จะทำแบบนั้น ถึงจะมีคิดเล็กๆ ในเสี้ยวห้วสักนิดเหอะว่าไม่แน่สักวันคงอาจจะได้เจอกัน

ทุกๆ ปี สิ่งที่พอ(น่า)จะทำได้คือ การซื้อขนมหรือไม่ก็ของเล่นแล้วส่งไปให้หงุดหงิดบ้าง พอให้รู้สึกว่าแต่ละปีอย่างน้อยๆ ก็ให้ตัวเองไม่ลืมว่ามีหงุดหงิด มีหมาปั๊ก มีลูกสาวอยู่ 

ทุกวันนี้หมาในซอยบ้านก็ได้อนิสงฆ์จากการที่คิดถึงหงุดหงิดนี่แหละ ที่ทำให้ตัวเองไปซื้ออาหารซื้อขนมให้มันเล่น พอแก้คิดถึงหงุดหงิดไปบ้าง...(ถึงบ้านในซอยบ้านมันจะตัวใหญ่คับซอยก็เหอะ)

การเขียนถึงหงุดหงิดปีนี้ น่าจะมีเรื่องหงุดหงิดน้อยลง และเป็นเรื่องอ้อมๆ ที่เหมือนจะเกี่ยวข้องกับหงุดหงิดน่ะ แต่เขียนไปเขียนมาก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเกี่ยวกันได้เลย

"หงุดหงิด…ฉันรักแกว่ะ และคิดถึงแกมากๆ ทุกๆ ครั้งที่เวลาเดินทางไปไหนก็แล้วแต่ เวลาเจอหมาก็จะหันมองตลอด แล้วถ้าวันไหนโชคดีได้เจอหมาปั๊กพันธ์เดียวกับแกด้วยน่ะ รู้ไหมฉันโคตรคิดถึงแกเลยคิดถึงมากๆ ด้วยรู้ไหม นึกทุกครั้งว่าป่านนี้มันจะโตขนาดไหนแล้ว ป่านนี้มันจะเป็นยังไงบ้าง ลืมเบิ๊ดไปแล้วยัง มันจะยังจำได้ไหมว่าเคยมีเบิ๊ดอยู่" กลัวแกลืมฉันเหลือเกิน ไม่ต่างกับที่ฉันจะลืมแกเลย

หงุดหงิด…ความฝันเล้กๆ ของฉันก็สำเร็จแล้วน่ะ นั่นคือการไปอยู่หน้ารูปปั้นของฮาจิ ที่ญี่ปุ่น ที่เจ๋งกว่านั้นก็คือ ฉันตั้งใจใส่เสื้อยืดลายหน้าแกเลยน่ะ ตอนที่ได้เห็นรูปปั้นนั้นตอนแรกนี่เม่งโคตรมีความสุขเลย คิดถึงแกมาก หมาทุกตัวคือแก เพราะฉนั้นฉันก็คงรักมันทุกตัวเหมือนกันน่ะ

ปีนี้ 5 ขวบแล้ว ว่ากันว่า หมา 5 ขวบ อายุของคนน่าจะประมาณ สามสิบกว่าๆ แหละมั่ง สามสิบยังแจ๋วเลยน่ะหงุดหงิด ขอให้แกมีความสุขมากๆ กินเต็มที่ เล่นเต็มที่ นอนเต็มที่ กรนเต็มที่เลยน่ะสุดท้ายนี้ขอให้แกยังจะจำฉันได้บ้างน่ะ คิดถึงแกว่ะหงุดหงิด "HBD"

วันศุกร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

เริ่มต้น "Begin Again" อีกครั้ง




"Begin Again" เพิ่งได้ดูตะกี้เลย ไม่ได้ในโรงน่ะ แต่เป็นคอมที่บ้าน เข้าใจแหละว่าทำไมคนถึงได้ชอบกันนักกันหนา เพลงเพราะ อารมณ์ได้ นักแสดงเท่ โดยเฉพาะพระเอกเล่นดีโคตร รู้จักพระเอกก็จาก hulk ในอเวนเจอร์นี่แหละ ส่วนเคียร่า นี่แอบกริ๊ดมานานแหละ ตั้งแต่ เลิฟแอคซูรี่..

หนังเม่งชวนยิ้มตลอดเวลา แต่รู้สึกนอยตรงฉากสุดท้ายนี่แหละ ไม่รู้ว่าคนอื่นคิดไงน่ะ แต่ส่วนตัวคิดว่า ในเรื่องนางเอกเม่งปูเพลงของตัวเองมาตลอดไม่ต้องการให้มีอะไรนอกเหนือจากเพลง เช่น การแต่งตัว การใส่อะไรก็แล้วแต่ที่ไม่ใช่ดนตรี เพราะนางเอกอยากให้คนเข้าใจเพลงมากกว่าสิ่งอื่นๆ ที่ไม่ใช่เนื้อหาของเพลงที่นางเอกจะสื่อ

....เพลง lost star เพลงที่นางเอกแต่งให้แฟน เพลงของ "สองเรา" แล้วพอห่างกันไป แฟนก็ได้เอาเพลงนี้ไปใช้ลง CD ……..แต่พอที่นางเอกได้ฟังเพลงแฟนใน CD ตอนแรก ก็ยังบอกกับแฟนมันเลย ว่าอยากให้เล่นเพลงในแบบที่มันเคยเป็น แต่แฟนมันก็ยังดึงดันในแบบของตัวเองว่า แบบนี้ก็มีคนชอบมีคนถูกใจ...ซึ่งนางเอกเฉยๆ มากกับเรื่องนี้ นางเอกสนใจคุณค่าของตัวเพลงมากกว่า เลยทิ้งท้ายว่าขอให้พระเอกเล่นเหมือนเดิม เหมือนที่นางเอกจะสื่อ...ช่วงพีคตอนคอนเสริตนี่แหละ ที่ตอนแรกๆ แฟนนางเอกก็เล่นอารมณ์เดียวกับที่นางเอกต้องการ แต่พอผ่านไปช่วงพีค แฟนมันดันเล่นในแบบที่ตัวเองอัดไว้ใน CD สุดท้ายก็ไม่ต่างอะไร...จากที่นางเอกเม่งจะดีด้วยแล้วแต่กลับกลายเป็นว่า แฟนของนางเอกไม่ได้จะเปลี่ยนไปจากเดิมเลย หรืออาจจะเปลี่ยนตอนแรกๆ (ที่เล่นเพลงเหมือนกับนางเอก) ก่อนที่จะเหมือนเดิม ทำให้นางเอกเดินหนีไป ฉากนี้แหละ เม่งโคตรชอบเลย...คือไม่ต้องจบแบบแฮปปี้หรอกน่ะ แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เศร้าจนน้ำตาไหล ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับที่ดู ONCE เลย ประทับใจอะไรใน ONCE ก็ประทับ Begin Again เหมือนกันนี่แหละ แต่ตามสูตรของตัวเองคิดว่าให้ ONCE ชนะคะแนนไปน่ะ เพราะความรู้สึกที่ว่า ONCE คือต้นฉบับ...ONCE คือการจากกัน เพิ่มไปเริ่มต้นสิ่งที่ในใจอยากให้เกิดมากกว่า

ปล. นี่เป็นเรื่องที่สองต่อจาก Little Miss Sunshine ที่พอดูจบ ก็เปิดบล็อคเขียนเลยน่ะเนี่ย
ปล 2 ชอบฉากที่ฟังเพลงด้วยกันแล้วเดินไปที่ต่างๆ มากๆ (ความรู้สึกเหมือนเรื่อง HER เลย)

วันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2557

"ความหงุดหงิดไม่เคยหายไป"



วันนี้นั่งเก็บของ รื้อของที่บ้านเพลินๆ เก็บหนังสือ เก็บการ์ตูน เก็บปัดกวาดไปเรื่อยๆ ดันไปเจอรูป "หงุดหงิดตอนเด็ก" ...นั่งดูแล้วก็คิดถึงตอนเก่าๆ ตอนอยู่ด้วยกัน นอนด้วยกัน เล่นด้วยกัน

สักพักก็กลับมานั่งดูรอบๆ ห้อง หมาปั๊ก ทั้งหนังสือ ของเล่น ภาพวาด ที่เป็นหมาปั๊ก เต็มห้องไปหมด พยายาม??? พยายามให้มันเป็นตัวแทนว่านั้นคือหงุดหงิด พยายามไม่เห็น เพราะอยากรู้จริงๆ ว่าบางสิ่งบางอย่างถ้าไม่เห็นเราจะจำได้ไหม

ช่วงแรกอาจจะดีพอไม่ได้เห็นก็จะได้ไม่ต้องรู้สึกคิดมาก..แต่กลับกลายเป็นว่าถ้าได้มาเห็นอีกทีหลังจากที่(พยายาม)จะไม่เห็นสิ่งที่อยากเห็นอีก "หนักกว่าเดิม" ความคิดถึงมันทะลักออกมาจากหัวใจเลย อะไรต่อมิอะไรที่เก็บไว้ มันออกมาเองเหมือนเอาไปเจอกุญแจไขมันออกมา ทั้งๆ ที่มันก็แอบซ่อนรอพร้อมจะปล่อยเต็มที่อยู่แล้ว

คิดถึงหงุดหงิด เกือบสามปีแล้ว สามปีเลยน่ะที่ได้ไม่ได้เจอหน้ากัน เป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม มันจะคิดถึงบ้างหรือเปล่า ลืมแล้วหรือยัง หงุดหงิดจำฉันได้ไหม????

คำถามเม่งวนเวียนอยู่ในหัว อยากระบาย อยากร้องไห้ อยากนอนให้สลบไปเลย อยากตื่นแล้วตื่นมาลืมหมดให้ทุกอย่าง ถึงทำแบบนั้นได้จริงๆ ก็คงไม่คิดที่จะลืมมันหรอก....สมเพศตัวเอง

จะจำหน้ามันไม่ได้อยู่แล้ว หน้าหงุดหงิดคือภาพเก่าๆ ที่ผ่านมา อนาคตของหงุดหงิดเป็นยังไง สารภาพจากใจเลยว่านึกไม่ออกจริงๆ

ภาพเก่าๆ ที่นึกออกคือ "หงุดหงิดเม่งก็ยังคือลูกสาวของฉันอยู่ดี" แต่สิ่งที่น่าจะดีใจได้อยู่อย่างคือภาพเก่าๆ ที่เม่งติดอยู่ในใจ คือภาพที่สดใส มากกว่าภาพที่แย่ๆ เสมอ