วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

annivers3rd



เหลือบไปดูเวลาที่มุมจอของคอม....วันนี้ วันที่ 21 พฤศจิกายน เป็นวันเกิดของ"หงุดหงิด" หมาตัวเมียหน้าดำพันธ์ปั๊กที่กลายสถานะจากสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน และจนภายในไม่กี่เดือนหลังจากที่ได้เลี้ยง "หงุดหงิด" มันก็เป็นลูกสาวแบบไม่ถูกกฎหมายโดยความเต็มใจของ"พวกเรา" ทุกวันๆ เรานอนด้วยกัน กินพร้อมๆ กันจนแทบจะไม่รู้สึกว่า"หงุดหงิด"มันคือหมา และคงคิดว่า"หงุดหงิด"ก็คิดเหมือนกันว่า"พวกเรา"คงไม่ใช่เจ้านายของมัน... :))))) 

จนกระทั่ง"หงุดหงิด"อยู่กับ"พวกเรา"ได้สักประมาณเกือบจะครบสองขวบ คำว่า"พวกเรา" ก็กลายเป็น"เธอกับผม" โดยที่ไม่มีกาวใจอันไหนมาเชื่อมเธอกับผมได้สนิทเหมือนที่เคยสนิทเป็นเนื้อเดียวกันมาก่อนหน้านี้ ผมต้องออกจากบ้านของ"เรา"ไป โดยที่บ้านหลังนั้นก็มีแต่เธอและ"หงุดหงิด"....ซึ่งจะมีทุกๆ วันเสาร์ วันที่ผมได้รับอนุญาติจากเธอให้ไปหา"หงุดหงิด"ได้ โดยที่เธอไม่ได้อยู่บ้าน เลยทำให้ทุกๆ อาทิตย์เป็นวันแห่งชาติ วันที่ได้เจอ"หงุดหงิด" วันที่ทำให้ผมหายเหนื่อยจากงานที่สะสมมาตลอดห้าวัน เรียก"หงุดหงิด"ได้เต็มปากเลยว่า"หงุดหงิด"คือ"ตัวหายเหนื่อย"ของผม...หลังจากนั้นประมาณไม่กี่อาทิตย์ที่ได้ไปหา.....เธอก็ขอให้ผมเลิกมาหา"หงุดหงิด"อีก เพราะการที่ผมไปหา"หงุดหงิด"มันก็ทำให้มีสิ่งค้างคาใจในตัวเธอให้ว้าวุ่นไม่สงบซะที

เคยคิดว่าจะขอ"หงุดหงิด"มาเลี้ยงเองที่บ้าน แต่คิดไปคิดว่า"หงุดหงิด"ตั้งแต่เล็กๆ ไม่กี่เดือนก็อยู่บ้าน"เธอ"มาตลอด ผมไม่อยากที่จะเอามันมาเลี้ยงในที่ๆ มันไม่คุ้น บ้านของ"หงุดหงิด"ก็คิดบ้านของ"เธอ" มันอยู่ในที่ที่เคยชินแล้ว แถมอยู่ที่นั่น ผมมั่นใจว่า "เธอ"จะดูแล"หงุดหงิด"ได้เป็นอย่างดีมากกว่าที่เลี้ยงมันแน่ๆ 

ผ่านมาหลังจากที่ไม่ได้เจอถึงวันนี้ หนึ่งปี(ค่อนข้างพอดิบพอดี) ปีที่แล้วตอน"หงุดหงิด"สองขวบ ผมได้เคยพูดเอาไว้ว่า"สัญญา สัญญาว่าจะทำให้เราได้มาเจอกันอีกเหมือนเดิม" แต่ถึงตอนนี้ ดูเหมือนสัญญามันกลายเป็นแค่ลมปากไปแล้ว เวลาที่ผ่านมา ผมไม่ได้สามารถทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาเลย
ปีที่แล้ว ตอน"หงุดหงิด"สองขวบผมได้ทำเสื้อยืดลายของ"หงุดหงิด"ไปขายแล้วเอากำไรทั้งหมดจากการขายครั้งนั้นไปทำบุญซื้ออาหารให้สุนัขเร่ร่อน เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมากมาย จนเพื่อนคนหนึ่งพูดมา "เนี่ยเด๋วนี้เห็นหมาปั๊ก ก็จะเรียกว่า นี่ไงๆ หงุดหงิดๆ"

ทุกวันนี้พูดแบบไม่คิดเลยว่าไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึง"หงุดหงิด"เลย ทุกวัน ทุกวันจริงๆ เห็นอะไรเกี่ยวกับหมาปั๊ก ต้องหยุดดู หยุดซื้อเก็บไว้ตลอด จนแบบว่าคนอื่นๆ ก็ซื้อมาฝากบ้าง เพื่อนก็ถามว่ามึงดูเว่อร์เกินไปไหมกับหมาแค่ 1 ตัว ซื้อมาเลี้ยงใหม่ซิจะได้จบๆ......ไม่เว่อร์เลย ถ้าคิดว่ามันเหมือนลูกสาวจริงๆ ไม่กล้าเลี้ยงตัวอื่นกลัวใจเราจะลืม ลืม"หงุดหงิด"

จากความคิดถึงเป็นเริ่มเป็นความกลัว กลัวว่า"หงุดหงิด"จะลืมผมไปในที่สุด กลัวมันจะจำผมไม่ได้ แต่ที่กลัวมากที่สุด กลัวใจตัวเอง กลัวว่าสักวันผมจะลืมคิดถึงว่า"หงุดหงิด"เป็นลูกสาว กลัวที่ตัวเราเองต่างหากที่จะลืมซะเอง กลัวจะลงเอยแบบนี้ กลัวที่สุด

ปีนี้เป็นปีที่สามของ"หงุดหงิด"แล้ว อ่านในหนังสือว่ากันว่า หมา 3 ขวบ เท่ากับคนอายุ 28 ปี ตอนนี้"หงุดหงิด"ก็โตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ไม่รู้ป่านนี้"เธอ"ผู้เป็นแม่ของ"หงุดหงิด" จะเริ่มให้ลูกสาวมีคู่ครองแล้วหรือยัง...

มาถึงตอนนี้ผมไม่รู้จะพูดคำว่าอะไรนอกจากคำว่า"คิดถึง"

ครั้งหนึ่งเวลาพา"หงุดหงิด"ไปหาแม่ผม พามันไปเล่นที่อื่นๆ แล้วแม่ผมเห็นผมนอนคลุกกับมัน แม่เคยถามผมว่า "รักมันไหม" ผมตอบไปว่า "รักซิ เหมือนลูกอ่ะ รักมันจะตาย"…แม่ผมบอกว่า "เออ ก็เหมือนแม่น่ะแหละ เอ็งก็เหมือนหงุดหงิด"

มาถึงตอนท้ายของบทความนี้ ดูเหมือนเนื้อหาที่ก่อนหน้านี้ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ"หงุดหงิด"ให้มากกว่านี้ แต่พอเวลาได้เขียนจริงๆ รู้สึกว่าเป็นการเวิ่นเว้อของผมสักมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของ"หงุดหงิด"

"หงุดหงิด ปีหนึ่งแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน คิดถึงมากๆ อยากฟัดอยากกอดอยากเล่นด้วยกันเหมือนที่ผ่านๆ มา พ่อหวังว่าสักวัน หงุดหงิดกับพ่อคงได้มีโอกาสเจอกันเล่นด้วยนอนด้วยกันอีก รักแกมากๆ เลยน่ะไอ้หมาหน้าดำ ถึงจะหน้าดำแกก็น่ารักน่ะ"

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทดไว้ในบล๊อก (13)

- ออกจากงานจนได้ ตกงาน..
- เรียกว่าออกมาทำ "ฟรีแลนซ์" จะดูโก้กว่า
- ไปงาน The Last Fat Fest มา
- ดีใจมากที่ได้ไป เด๋วจะเขียนบล๊อกรายละเอียดให้ฟัง
- หงุดหงิดกำลังโต จะสามขวบแล้ว
- ตั้งแต่ถ่ายรูปหงุดหงิดกับเสื้อหงุดหงิดครั้งนั้น
- ก็ไม่ได้เจออีกเลย
- ณ ตอนนี้กำลังนั่งทำบางสิ่งบางอย่างให้กับลูกสาวตัวนี้อยู่
- ตอนนี้เฉื่อยชามาก
- มั่นใจที่เป็นแบบนี้เพราะช่วงนี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลย
- ได้อ่านหนังสือมากขึ้น ฟังเพลงมากขึ้น
- เปิดคอมน้อยลง (จริงหรา)
- แล้วก็เป็นตามสันดานเหมือนเดิม
- ไม่ชอบออกไปไหน 
- แล้วก็บ่นเบื่อ (ฮา)
- ติดการ์ตูน space brother มาก
- ตอนแรกงานเพราะตัวเอกเลี้ยงหมาปั๊ก
- ชอบคำหนึ่งในการ์ตูนที่บอกว่า 
- "ถ้าไม่แน่ใจว่าจะเลือกอันไหนที่ถูก ให้เลือกอันไหนที่สนุก"
- หลังจากได้อ่านคำนี้จบประโยค น้ำตาไหล ใจเต้นมาก 
- เพราะเพิ่งเจอเหตุการ์ณให้เลือกแบบนี้พอดี :)))
- อ่านพันธ์หมาบ้าจบแล้ว
- ก่อนอ่าน "ไม่ค่อยได้อ่านนิยายด้วยนิ จะจบไหมเนี่ย"
- ระหว่างอ่านไปสองบท "ประวัติแต่ล่ะคนแค่ตอนสองตอน มันเยอะกว่ากูทั้งชีวิตอีก"
- อ่านไปครึ่งเล่ม "งอมแงม"
- จบเล่ม อินมาก ไปดูหนังต่อ ไปฟังเพลงของทัยต่อ :D
- อ่านแล้ว อยากไปนอนบนหาดให้ทะเลซัด มือถือบุหรี่(สอดไส้) เบียร์ขวดใหญ่...FIN
.
.
.
.
- เชื่อไหม มาถึงตอนนี้ยังชอบคำพูดคำนี้อยู่
- "ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่ออะไรสักอย่างเสมอ"
- หลังจากจบบทความนี้..
- บทความต่อไปนี้จะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ ที่จะได้เรียบเรียงออกมาซะที ^^
- ตื่นเต้นว่าจะถ่ายทอดเขียนออกมายังไง 
- คำผิดจะเยอะขนาดไหน (ฮา)

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อิงลิช ฟอร์ กู!!!!


วันนี้มีเรื่องเล่าตลกร้ายเรื่องหนึ่ง.....

วันนี้ไปคุยงาน ก็สัมภาษณ์งานน่ะแหละ เห็นในใบสมัครทางบริษัทก็เกริ่นมาหน่อยแหละว่า"เข้าใจภาษาอังกฤษ" ไอ้เราก็ไม่ได้หวั่นเกรงอะไรเพราะเคยทำงานกับฝรั่งมาก่อน มันจะบรีพงานในเมล์ เราก็อาศัย กูเกิลแปลบ้าง ศัพท์งานก็คุ้นเคยพอรู้เรื่องบ้าง ผ่านๆ ตา…แต่วันนี้หลังจากเข้าไปในออฟฟิค ทางHR ก็ให้กรอกใบสมัครปกติ บรรยากาศห้องก็มีอยู่สามคน HR ผม แล้วก็...คนมาสมัครงานอีกคน (แต่งตัวออกแนวมาร์เกตติ้งแน่ๆ) ระหว่างกรอกเอกสาร ก็เหลือบไปเห็นห้องกระจกห้องหนึ่งมีฝรั่ง(ขอเรียกว่านายฝรั่ง)เป็นเจ้าของกับอีกคนซึ่งมาสัมภาษณ์งานเหมือนกัน ก็ตกใจนิดๆ ว่าเฮ้ย..กูต้องพูดกะฝรั่งด้วยป่ะเนี่ย เลยรีบสังเกตใบสมัคร มันก็บอกว่าพิมพ์ภาษาไทยปกตินี่หว่า...โอเค คงไม่มีไรหรอก(มั่ง)

……พอเขียนเสร็จส่งให้ HR นั่งสักพักไอ้คนที่มาสมัครงานก่อนหน้าพูดภาษาอังกฤษกับ HR เฉยเลยเป็นเรื่องเป็นราวมากๆ ใจวูบไปอีกหน่อย หวั่นใจเอาไงว่ะกู แต่ก็คิดมาอีกหน่อยแบบว่า คงเป็นพวกมาร์เก๊ตติ้งตปท. น่ะแหละไม่เกี่ยวกับเราหรอก (เริ่มยิ้มแห้งๆ) สุดท้าย พอฝรั่งสัมภาษณ์งานกับอีกคนเสร็จก็เดินออกแล้วแล้วพูดกับ HR ประมาณว่า มีอีกสองคนใช่ไหม(ฟังคร่าวจับใจความได้ประมาณนี้) แล้วก็เดินมาพูดกับกู!!!!!!!

นายฝรั่ง "eorkt98u545t-guer8w5-43w-490i-giaj"
ผม "เออ..ออ ไอ แอม กราฟิก ดีไซสครับ"
นายฝรั่ง"3496860t[;'lfpowpepitop[ofqq[2r"
ผม "เออ งานอยู่ใน cd my portfolio in here อันนี้ครับ"

แล้วก็พูดอะไรมาสักอย่างประมาณว่า คุณสองคน(คนมาสมัครงานก่อนหน้า)รอผมก่อนได้ไหม ตอนนี้ผมหิวมากเลยยังไม่ได้กินอะไรเลย รอเวลาแปปนึงเด๋วมาคุยกันอีกที ผมก็ยิ้มๆ ไม่พูดอะไรกลัวพิกุลร่วงมาก พอนายฝรั่งเดินออกไป ผมนั่งจ๋อยสักพัก เดินหา HR ทันทีว่าผมต้องคุยกับนายฝรั่งด้วยใช่ไหม... HR ตอบมาว่า "yes" ในใจผมนี่ตะโกนมาเงียบๆ ว่า "เยสสสสสส"

ผม "เออ ถ้าเข้าไปคุย ผมจะเอาอะไรไปสัมภาษณ์น่ะครับพี่ ผมโง่มากเลยอังกฤษ"
HR "ไม่เป็นไรๆ เด๋วพี่เข้าไปด้วย ช่วยๆ กันแปลน่ะ"
ผม "เค้าพอฟังไทยรู้เรื่องไหม"
HR "ไม่เลยค่ะน้อง" "กังวลหรอ"
ผม "ครับพี่ มากกกกกด้วยแหละ ถ้าสัมภาษณ์น่ะไม่เท่าไรหรอกฮะ แต่ถ้าทำงานแล้วต้องทำงานร่วมกันด้วยผมเกรงว่า จะเสียเวลาทางพี่แล้วก็บริษัทด้วยแหละครับ"
HR "โอเคไม่เป็นไร งั้นเด๋วพี่คุยกับเจ้านายว่าจะไงดีน่ะ"
ผมขอบคุณแล้วไปนั่งที่......


สักพักไอ้คนที่มาสัมภาษณ์อีกคนก็พูดภาษาอังกฤษใส่ผม...ผมทำเป็นไม่ได้ยิน แต่มันลงท้ายได้ยินว่า "…..sir" เม่งงงงสุภาพกับกูอีก คุยด้วยก็ได้ T_T
….ก็คุยๆ กันเค้าเป็นคน ฟิลิปปินส์ (มิน่าภาษาอังกฤษไฟแลบเลยน่ะ) ไอ้เราก็พูดฮาๆ บอกว่า "ไอ สติวปิด อิงลิส เวรี่มัส" เค้าก็พูดประมาณว่าไม่เป็นไร ขำๆ กันไป คุยว่าอยู่ที่ไหน "อืมมม แอม นนท์บุรีฮาเบอ" (อายตัวเองชิบหาย) --" เค้าอยู่บางกะปิ นั่งแท๊กซี่มาบางบัวทอง.."โหย ยู so far มากอ่ะ" แล้วก็ไปนั่งทีี่เดิม....
ในใจคิดว่า กูอายมากอ่ะภาษาอังกฤษเม่งเป็นไงล่ะ ไม่ยอมเรียน ความรู้สึกที่คนเคยบอกให้เรียนนี่ผุดมาหาในหัวเลย

HR เดินเข้ามาก็พูดแบบที่ผมคิดไว้ว่ายังไงๆ งานก็ต้องคุยกับนายฝรั่งอยู่แล้ว แล้วเราอ่อนภาษาอังกฤษก็น่าจะทำให้ทางบริษัทเค้าเสียเวลาเลยไม่ได้คุยรายละเอียดอะไรกันเลยร่ำรา HR หนุ่มฟิลิปปินส์ นายฝรั่ง แต่มีคำพูดคำหนึ่งที่ทำให้ผมเดินยิ้มขึ้นรถขับกลับบ้านจากนายฝรั่งที่ฝากพูดให้ HR พูดแทน...

"เนี่ย ทางเจ้านายพี่เค้าเสียดายที่ไม่ได้คุยกับน้อง เพราะเค้าชอบงานที่ส่งมาให้มากน่ะ (ผมคิดในใจคงเป็นงานพวกหนังสือ แอด หรือโบชัวจากที่เคยๆ ทำที่ผ่านๆ มาน่ะแหละ แต่..) ไม่ใช่งานหลักที่น้องทำน่ะ แต่งานเล่นๆ ที่ทำเอามาให้พี่ดูน่ะ นายพี่ชอบน่ะ สวยดี ดูสนุกดีด้วย ยังไงก็ขอบคุณน่ะที่อุตสาห์เข้ามา"

ผมได้แต่ยิ้ม ไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไรเลย ไม่คิดเลยว่ามีคนที่ชอบงานเล่นๆ (ที่เราตั้งใจทำ) โคตร แฮบๆๆ ปี้ๆ เลยว่ะ

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หอมกว่าดอกไม้


เคยไหม ที่ขับรถแล้วไปจอดอยู่ตามสี่แยก แล้วเห็นเด็กขายพวงมาลัย เช็คกระจกไปจนถึงขายมะม่วงกับถั่วต้ม...วันนี้มันก็อีกวันหนึ่งที่ขับรถหลังจากเลิกงาน ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีรถ ตลอดที่นั่งบนรถเมล์ จะสังเกตเห็นเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ขายพวงมาลัยตามสี่แยกตลอด โดยเฉพาะดอกจำปีหรือจำปาที่ม้วนๆ มาเนี่ยแหละ จะชอบมากๆ เพราะชอบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมๆ แบบนี้อยู่ พอวันนี้ขับรถแล้วเจอเด็กที่มาขายดอกจำปี ก็ไม่ลังเลเลยที่จะเรียกซื้อ 
เปิดกระจกเรียกเด็กมา

"น้องดอกไม้แบบนี้ขายไง"
"สามอันยี่สิบครับ"
"อ่า โอเค เอายี่สิบบาท...ไม่ต้องใส่ถุงๆ"
"ขอบคุณครับพี่..ขอให้หอมนานๆ ตลอดขับรถน่ะครับ"
.
.
.
.
.
.
.
.
จำไม่ได้ว่าพอจ่ายตังค์รับของ ดอกไม้มันได้ทำหน้าที่หอมขนาดไหน แต่คำพูดน้องคนขายมันทำให้ยิ้มตลอดเวลาที่ขับรถเลย :)))