วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

วิทยาการกับความคิดถึง

เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากพูดถึงมานานมากๆ แล้วถ้าจำไม่ผิดเกือบๆ ครึ่งปีได้หลังจากที่มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่เคารพนับถือมากมายพูดประมาณว่า คนสมัยนี้คิดถึงกันง่ายขึ้นและก็เลิกกันง่ายขึ้นด้วยเพราะความไฮเทค รวดเร็วของเทคโนโลยี....หลังจากที่คุยๆ กันเรื่องนี้ก็รู้สึกอยากเขียนลงในบล๊อกทันทีแต่ด้วยความที่อยากจะหาคำพูดที่มันไม่ดูเยอะแล้วเข้าใจง่ายๆ เลยไม่ได้ลงซะที ถึงตอนนี้ที่กำลังเขียนอยู่นี่ก็ใช่ว่าผมได้หาคำพูดเหมาะๆ มาเขียนได้แล้ว แต่เพราะกล้วว่าจะไม่ได้เขียนซะทีเลยถือโอกาสเวลาแบบนี้แหละที่จะเริ่มซะที


...บทความนี้เริ่มมากจากความสังเกตว่าทุกวันนี้ โลกเราเล็กลงมาก (ไม่รวมถึงคำว่าโลกกลมน่ะ :P ) เล็กขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าการแข่งขันกีฬาจากที่ซีกโลกหนึ่งแต่เราที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งก็สามารถนั่งดูถ่ายทอดสดไปพร้อมๆ กับคนในสนามได้เลยทีเดียว ขนาดสงครามเรายังเห็นวินาทีที่ระเบิดลงในสนามรบในอีกซีกโลกเลยทีเดียว เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้อะไรๆ มันเร็วมากๆ


ทีนี้แล้วมาเกี่ยวอะไรกับที่ว่าคิดถึงง่ายขึ้น เลิกกันง่ายขึ้น อันนี้จากทัศนคตืส่วนตัวล้วนๆ ของผมเองคิดว่า...เปรียบเทียบอีกว่าอย่างเช่นการโมโห โกรธต่อกัน ถ้าเรามีแฟนอยู่แล้วเกิดไปเจอเรื่องอะไรก็แล้วแต่ด้วยความโมโห เราจะโทรไปหาแฟนทันที ก็จะไปคุยเรื่องนั้นๆ ทันที หรือเรื่องคิดถึงก้ได้ สมัยนี้เทคโนโลยีทำให้เราส่งความคิดถึงได้หลายหลากแบบเช่น ส่งข้อความ รูปภาพหรือแม้แต่คลิบเสียง แล้วทำไมถึงเลิกเร็วล่ะ เอาประเด็นนี้ก่อน ส่วนตัวคิดว่าคนสมัยก่อนนั้นระบบคมนาคมนั้นไม่เหมือนสมัยนี้เพราะกว่าจะได้พูดคุยกันกว่าจะได้เจอกัน (เดินทางไกลมาลำบากหรือส่งจดหมายกันก็กว่าจะได้รับ) เพราะเมื่อเรามีเหตุการ์ณนี่คุ่นเขืองต่อกันกว่าเราจะได้พบ กว่าเราจะได้เจอคงทำให้เรื่องที่เราไม่สบายใจนั้นได้บรรเทาลดลงไปหมดแล้วจนตะกอนมันนิ่งแล้วหายไปในที่สุด อย่างเช่นถ้าความคิดถึงล่ะ คงเป็นความคิดถึงแบบสุดๆ เหมือนที่เมื่อก่อนจะมีบทเพลง หรือโวหารที่พรรณาถึงคนรักที่ปัจจุบันยังเหลือมีมาให้เห็นอยู่ เพราะกว่าที่คนรักกัน คนสองคนจะได้เจอกันความคิดถึงที่มากมายคงกลบเรื่องความไม่สบายใจทั้งหลายแหล่จนหมดไป ความคิดถึงมากๆ แบบนี้จึงได้มีอารมณ์แบบว่าแค่เห็นหลังคาบ้านก็ชื่นใจแล้ว คำนี้จริงแท้แน่นอน แต่สมัยนี้ความคิดถึงไปเร็วกันมากยังที่บอกข้างต้น แต่สุดท้ายไปว่ายุคสมัยใดการเลิกกัน การคิดถึงกัน ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเทคโนโลยีอะไรทั้งนั้นเพราะความรู้สึกที่มาจากข้างใน ความรู้นี้แหละ ที่ไม่มีเทคโนโลยีตัวไหนเข้าใจได้เลย ไม่ว่าคนยุคไหนๆ ความรู้สึกก็ได้ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีไปหมด บางทีภายภาคหน้าแค่เราคิดถึงใครซักคนในความคิด คนคนนั้นก็คงได้ยินเสียงเองโดยที่เราไม่ต้องเอ่ยปากออกไปก็ได้ ^^


ปล. หลังจากที่เขียนมาถึงประโยคนี้แล้วก็ยังรู้สึกว่าตัวเองพูดวกไปวนมากๆ แต่ยังไงเสีย ความตั้งใจที่จะพูดในเรื่องนี้ในที่สุดก็ได้พูดซะที (ฮา)

Papa Shabby Chic ร้านแว๊นแว่นที่ไม่แว๊น

ย้อนกลับไปหลายอาทิตย์ก่อนนานมากพอสมควร เพื่อนสาวจากขอนแก่นได้เข้ามาทักใน MSN "ว่าจะเปิดร้านขายแว่นให้ช่วยทำ logo ให้ทีซิ แบบไหนก็ได้ไม่ซีเรียส" เนื่องจากผม(ผู้เขียน)มีจิตใจที่ดีเลยรับปากไปว่าเด๋วจัดให้ รอแปป อาศัยช่วงงานไม่มี เลยมานั่งทำโดยใช้วงกลมเป็นหลัก เอารูปทรงของแว่นหลักๆ เป็นส่วนใหญ่ แล้วจากทำได้ไปประมาณสองสามอันคร่าวๆ ก็ส่งไปให้เพื่อนดูปรากฎว่ามีอันที่ถูกใจใช่เลยอยู่อัน แต่เค้าได้ขอเพิ่มมาว่าอยากให้โทนสี ดู vintage เก่าๆ เลยได้ใช้สีน้ำตาลให้รู้สึกดูเก่าแบบตั้งใจ แล้วได้เปลี่ยน Font เพราะตัวอักษรของ Font ความรู้สึกของผมมันค่อนข้างบ่งบอกอะไรได้ชัดเจนมากๆ....

รูปนี้เป็นแบบคร่าวๆ ที่ส่งไปให้เพื่อนดู โชคดีที่มีที่ถูกใจ
ชื่อร้าน "Papa Shabby Chic"
ส่วนรูปนี้เป็น logo ที่ทางเพื่อนได้โอเคแล้วปรับเสร็จสรรพ จนเป็นแบบที่เห็น

ซึ่งต้องขอสารภาพเลยว่าหลังจากที่เพื่อนบอกว่าจะขายแว่นนั้น เราคิดไปว่าคงเป็นร้านที่มีแว่นเยอะๆ 199 บาท คล้ายที่ขายๆ กันตามห้างต่างๆ แต่ที่ไหนได้..."เป็นแว่นตากันแดดสุด Chic สุด Cool สุดแนว ยี่ห้อ Quay Eyewear, Australia ราคาสบายกระเป๋า ต้องมีซักอันซะแล้วจะได้ไม่ตกเทรนด์ ... เนอะ!" (ยืมคำโฆษณาจากทางร้านมาเลยล่ะกันน่ะ)
ไปที่ http://www.facebook.com/p.shabbychic รับรองคงมีที่ถูกใจแน่นอนฮะ

แต่ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ทำ logo อันนี้น่ะซิ เพราะหลังจากที่ทำ logo นี้ที่บ้านผมน้ำท่วม!!! เลยต้องโยกย้ายไปเรื่อยๆ แต่เนื่องจากบ้านเพื่อนคนนี้ใกล้ที่ทำงานมากเลยฟอร์มๆ ถามว่าจะอาศัย ยังไม่ทันถามอะไรมาก..เพื่อนก็ให้มาอยู่อาสัยชั่วคราวได้อีก ซึ่งต้องขอขอบคุณในที่นี้เลยว่าพวกเจ้าสาวขอนแก่นทั้งสามคนกับอีกหนึ่งหนุ่มนั้นน้ำใจงามมากๆ ไว้ปีหน้าถ้าน้ำท่วมอีกจะไปเป็นภาระอีกน่ะ :P

วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ผลลัพธ์

วันนี้ได้มีโอกาสเจอเพื่อน ซึ่งได้คุยกันหลายเรื่องทั้งเรื่องงาน เรื่องคน จนกระทั้งเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ........ถามว่าเกี่ยวอะไรกับผลลัพธ์ที่ขึ้นเป็นชื่อบทความนี้ไหม พูดได้เต็มปากเลยฮะว่าไม่เกี่ยว แต่ที่เกริ่นมาเพราะจะขึ้นเรื่องว่ามาได้หยุดคุยเกี่ยวกับเรื่องหนึ่งคือการดำเนินชีวิต ที่นึกถึงผลลัพธ์ที่คาดคะเนล่วงหน้าก่อนที่จะตัดสินใดๆ เลยทำให้นึกถึงการ์ตูนเรื่อง "jojo ล่าข้ามศตวรรษ" ตอนหนึ่งก็ได้พูดเรื่องแบบนี้เหมือนกันว่า...

ตัวละครนี้ชื่อว่า "อาบัคคิโอ้" ได้นั่งอยู่ร้านกาแฟตอนเช้าที่เมืองๆ หนึ่ง เมื่อนั่งไปได้ซักพักก็ได้ยินเสียงดัง "แกรก แกร่ก" จึงก้มลงไปใต๊ะ ก็ได้เห็นว่ามีตำรวจคนหนึ่ง ซึ่งกำลังเก็บ ซากแก้ว กระจกอยู่อย่างขะมักเขม่น อาบัคคิโอ้ก็เกิดสงสัย ว่ากำลังทำอะไรอยู่ ตำรวจคนนั้นก็เลยตอบมาว่า "กำลังหารอยนิ้วมือคนร้าย เพราะเนื่องจากเมื่อคืนมีคนทะเลาะวิวาทแล้วมีคนเสียชีวิตทำให้ต้องมาหารอยนิ้วมือเพื่อตามหาคนร้ายไปดำเนินคดีต่อไป" หลังจากได้ฟัง อาบัคคิโอ้ได้สงสัยแล้วก็ถามว่า "เออ ขอโทษน่ะ จะขอถามอะไรสักหน่อยมีเรื่องสงสัย และเพื่อประดับความรู้ว่า ถ้านาย(ตำรวจคนนั้น)ที่กำลังนั่งหาเศษแก้วเพื่อหารอยนิ้วมือ ซึ่งนายอุตสาห์นั่งถ่อหาแทบเลือดกระเด็นแบบนี้ แต่เมื่อหาเสร็จกลับพบว่าไม่มีรอยนิ้วมือหรือเอาเป็นว่าพอนายเจอรอยนิ้วมือตามตัวคนร้ายพบแต่คนร้ายคนนั้นได้จ้างทนายความที่เก่งจนเอาชนะคดีหลุดมาได้แบบนี้ นายจะรู้สึกยังไงเพราะต้องทนมานั่งหารอยนิ้วมือแบบนี้" ตำรวจคนนั้นนั่งเงียบได้แปปนึงแล้วก็ได้พูดมาว่า "อืม นั่นซิฮะ ผมไม่ได้คิดส่วนนั้นซะด้วยซิ ถ้าคนเรามัวแต่คิดถึงผลลัพธ์ก็คงลืมบางสิ่งบางอย่างไป ทุกๆ คนคงข้ามขั้นตอนไปผลลัพธ์กันหมดโดยที่ไม่ได้พบกับความจริงที่มีอยู่ และถ้าเป็นแบบนั้นก็คงไม่มีใครไปถึงให้สิ่งที่เราต้องการเพราะเมื่อเราคิดแบบนั้นว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง เราก็คงไม่ได้ทำในสิ่งที่ๆ ควรจะทำ"

หลังจากที่เล่าเรื่องนี้จบ ผมกับเพื่อนก็ได้คุยกันว่า ก็เหมือนอย่างที่ตำรวจคนนั้นบอก ถ้าทุกคนมัวแต่คิดถึงผลลัพธ์การกระทำต่างๆ ก่อนที่จะไปยังผลลัพธ์นั้นก็คงไม่เกิดขึ้น แล้วก็ไม่เกิดผลลัพธ์แบบที่เราหวังไว้ด้วยซำ้เพราะผลลัพธ์ที่เรามักคาดคะเนก่อนที่เราจะทำอะไรนั้น ผลลัพธ์จะมักขึ้นต้นด้วยคำว่าเป็นไปไม่ได้ตลอด บางครั้งผลลัพธ์ก็ไม่ใช่จุดประสงค์ที่เราต้องการแค่อย่างเดียว เหมือนที่มีคำๆ หนึ่งในรายการ "หนังพาไป" ที่หลังรายการจบจะมีคำส่งท้ายที่ว่า "จุดหมายปลายทางอาจไม่ใช่ที่สุดของความงดงาม"

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

2nd anniversary

ปีที่แล้ว หงุดหงิด หมาพันธ์ุปั๊ก ที่สถาปนาเป็นลูกสาวของผม โดยที่ 'โคด-ตะ-ระ' ตั้งใจให้มันมีสถานภาพแบบนั้น
ครั้งแรกหลังจากที่เกิด 1 ขวบได้มี project ทำเสื้อลายของหงุดหงิดโดยที่ออกแบบโดย คุณตุ้ย เพื่อนร่วมงามสุดหล่อ เพื่อที่ทำขายและนำเงินที่กำไรไปทำบุญเกี่ยวมูลนิธิหมาต่างๆ ให้เป็นกุศลแต่หงุดหงิดสืบไป แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ทำออกมา จนปีนี้(2011) ครบรอบสองขวบ ในวันที่ 21 พฤศจิกายน จึงเลยภือเป็นธรรเนียมปฏิบ้ติในการออกแบบลายเสื้อให้แก่หงุดหงิด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะได้ทำเมื่อไร แต่ที่แน่ๆ เมื่อใดที่พร้อม ลายเสื้อหงุดหงิดนี้ จะเป็นลายแรกที่จะผลิตเป็นงานแรกอย่างแน่นอน

ลายนี้จะเป็นรูปหน้าของลูกสาวซึ่งลายจะมาจากตัวอักษรชื่อของหงุดหงิด ภาษาอังกฤษ
Ngud-Ngid JangswangSrisook


อันนี้คือรูปที่ zoom in เข้าไป ว่าเป็น ตัวอักษรภาษาอังกฤษทั้งหมด

ปล. ผมของระบายผ่านบล๊อกในนี้เลยน่ะ

หงุดหงิด ก่อนวันเกิดปีนี้ของเธอ พ่อมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งทั้งหมดเกิดมากจากตัวพ่อเองทั้งนั้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ไม่ว่าจะกี่ปี พ่อก็ยังคงรอให้ทุกอย่างเหมือนเดิม ให้เป็นวันที่ปกติของเราทั้งสามเหมือนเดิม ที่สำคัญ เพราะมีเราลูกสาวคนนี้ พ่อคิดว่าไม่ว่าจะยังไง แม่ของเธอก็จะยังไม่ลืมพ่อ รักแกมากเลยน่ะไอ้หมาหน้าดำ!!!

Project : เสื้อทหาร ใครๆ ก็ทำได้!!!

ช่วงที่น้ำท่วมแรกๆ เคยบ่นให้เพื่อน กับลงสเตตัสไปว่า "อาชีพอย่างเรา(กราฟฟิก) นี่ เวลามีเรื่องภัยวิบัติต่างๆ เราช่วยได้ค่อยจะได้เหมือนอาชีพช่างต่างๆ"..............
จนน้ำได้ท่วมล่วงเลยไปสักระยะใหญ่ๆ มีรุ่นพี่ที่นับถือคนหนึ่ง มาทักให้ช่วยอะไรหน่อย คือออกแบบวาง text คำว่า "ทหารของพระราชา ทหารของประชาชน" โดยที่ให้ Font ของทางทหารมา 8 แบบ และยังบอกอีกว่าพี่เค้าจะทำเพื่อสมทบทุนไปทำสกีนลงบนเสื้อของทหาร(เสื้อข้างใน อารมณ์เสื้อรด. ทั่วไป) ก็ช่วยๆ กัน เราก็รับปากกันที เพราะรู้สึกเนี่ยแหละ คือสิ่งที่อาชีพเราถนัดในการช่วยเหลือแบบนี้ ก็เลยได้มา 8 แบบ โดยทีแรก พี่เค้ากะโหวตให้เลือกกัน แต่จังหวะ ที่เราเสนอ เลือกไปนั้นพี่เค้าก็ตัดบทขึ้นมาว่า งั้นเอาแบบนี้แหละ ให้เครดิตคนทำด้วย ^__________^ (ดูสึกดีใจ ยิ้มขึ้นมาซะเฉยๆ) และดีใจอีกนิดที่ทางพี่เค้าเข้าใจในสิ่งที่เราเสนอ


รูปนี้คือ 8 แบบที่ว่า อันที่ผมเลือกคือแบบ 2

โดยที่แบบที่เลือกนั้น สกรีนข้างหลังบรรทัดแรกคำว่า "ทหาร" จะตัวเล็กกว่า "พระราชา" บรรทัดที่สอง คำว่า "ทหาร" และ "ประชาชน" เท่าเทียมกัน



รูปนี้คือโปสเตอร์ ที่พี่เค้าไปลงใน FB เพื่อโฆษณากระจายๆ ต่อไป


ส่วนรูปอันนี้คือเสื้อที่ผลิตจริงใส่จริง เก๋มากมาย ^^

หลังจากได้เห็นรูปที่เค้าแท๊กๆ จากใน FB ที่มีคนใส่เสื้ออันนี้รู้สึกดีใจมากๆ กับตัวเอง เพราะอย่างที่บอกว่าเพิ่งบ่นไปว่าอาชีพเราช่วยไรได้ว่ะเวลาแบบนี้ แต่วันนี้พี่สาวคนนึงก็มาใช้บริการจนเกิดสิ่งดีดี ขอบคุณมากพี่ๆ ที่ทำให้ตัวเองมีคุณค่ามาทันที....จบประโยคแบบนี้ เลยต้องขอจบคำสวยๆ ที่ยืมมาจากพี่เค้าว่า "คนเรามีคุณค่าในตัวเองเสมออยู่ที่เราจะมองตัวเองอย่างไร"