
เตรียมตัว!!!! ควักเงินออกจากกระเป๋ากางเกงได้แล้วสำหรับเสื้อยึด 50 "Limited Edition" ภายในสัปดาห์นี้ แน่นอน
บทที่ 20 กลับ
ถึงสนามบิน สนามบินที่นี่ไม่ใหญ่มากนัก คนก็เงียบเหงาด้วย มาถึงก็ซัดไป 1 ดอก เข้าห้องน้ำ(ปวดท้องมาก) เด๋วไม่ตรงกับ Concept 55+ มาถึงสนามบิน 4 โมง เครื่องออก 5 โมง ระหว่างที่รอก็ตื่นเต้นกับการขั้นเครื่องครั้งแรก พอได้เวลาก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไรนัก แต่เมื่อถึงเวลาตอนอยู่ในเครื่องบินแลัวกำลังขึ้นนี่ซิ ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น เหงื่อแตก หูอื้อ แก้วหูอยากจะแตกให้ได้ รู้สึกกลัวๆ (นั่งติดหน้าต่างด้วย) จนถึงสุวรรณภูมิ หูก็ยังไม่ได้ยินอะไรเลย….เดินมาโหลดกระเป๋า แลัวหาแท็กซี่ขึ้น…..ระหว่างอยู่บนรถ เห็นไฟรถ ไฟถนน ไฟจากตึก บิลบอร์ด แสงสี และรถยนต์…..มันช่างวุ่นวายเสียจริง
ในที่สุดก็กลับถึงบ้าน กลับสู้ชีวิตที่วุ่นวายกันต่อ อาจดูจบแบบท้อๆ แต่ความรู้สึกของผมที่มีต่อลาว ผมรู้สึกอยากไปอยู่ที่ตรงนั้น เพราะรู้สึกว่ามันเหมาะกับสไตส์การใช้ชีวิตของผมอย่างมาก อย่างน้อยๆ ก็แอบคิดกับตัวเองเหมือนกันว่าเร็วๆ นี้ ว่า ตะลอนลาวจะมีภาค 2 แน่นอน…..สะบายดี
บทที่ 19 เวียงจันทร์ - อุดร
ออกมาหารถจัมโบ้ (สามล้อไทยนี่แหละแต่ใหญ่กว่า) ค่ารถจากโรงแรมไปท่ารถทัวน์ราคาประมาณ คนล่ะ 80 บาท(ถามจากพนักงานโรงแรม) แต่..พี่จัมโบ้ เรียกไป 120 บาท!! รู้ทันเลยต่อเหลือ 80 บาท ให้ได้ ต่อไปสักพักลดลงมาที่ 100 บาท จะไม่ยอมท่าเดียว กว่าจะยอมก็อ่ะน่ะ มีรถมาอีกคัน เรียกแค่ 80 บาท พี่จัมโบ้เดิมก็โวยวายรถอีกคันว่ามาแย่งลูกค้าได้ไง ไอ้คันใหม่ก็บอกว่า “เอ๊งเรียกแพงเอง” กลายเป็นเรื่องใหญ่โตกันอีกจะไปต่อยกันซะงั้น ไอ้เราก็เซ็งทันที จะไปหาคันอื่น ยังไม่ทันไรก็ตกลงกันได้ 80 บาท ไอ้เราก็อ่ะๆ โอเค ไม่อยากหาคันอื่นแหละ เลยนั่งมาที่ท่ารถ บรรยากาศบนท้องถนนต้องบอกว่ารถค่อนข้างเยอะกว่าที่เคยเห็น อย่างว่ามันเป็นวันทำงาน(วันจันทร์) รถออก 11 โมงถึงท่ารถ 10 โมงครึ่ง นั่งรอรถสักพัก ดูนู่นดูนี่ ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวเท่าไร จะมีก็ประปรายเป็นพวกฝรั่งไปเลย ส่วนมากผู้โดยสารก็เป็นลาวนี่แหละ คนไทยน้อย….ถึงเวลาขึ้นรถ เนื่องจากไปจองมาตอนเช้าก่อน เลยได้ตั๋วหน้าสุด ฝั่งตรงข้ามมีสาววัยรุ่น 2 คน มานั่ง หน้าตาใช้ได้(เลยทีเดียว^________^) มาสองคนแต่เนื่องจากที่เต็มพอดีเหลือ 1 ที่พนักงานบนรถเลยเอาเก้าอี้พลาสติกกลมๆ มาให้นั่ง(ที่เสริม 55+) นี่ถ้าไม่ได้มากะก้อย ลุกให้นั่งเลยน่ะเนี่ย น้ำใจล้นเหลืออยู่แล้ว บนรถมีทีวีเปิดคาราโอเกะให้ดู อยู่ลาวดูคาราโอเกะลูกทุ่งไทย และดันเป็นเพลงของคนใต้บ้านเราอีกด้วย นั่งรถมาที่ด่านตรวจสะพานมิตรภาพ ลงจากรถเพื่อไปให้เค้าประทับตราลงใน passport แล้วเดินกลับมาขึ้นรถข้ามไปไทยต่อ ถึงค่านตรวจไทยอีกที ก็ลงไปประทับก่อน แต่นานหน่อยเพราต้องตรวจเข้าเมืองสำหรับคนลาวเข้าไทยแลัวขึนมาอีกทีสาวหน้ามล 2 คนนั้นก็ลงที่นี่ไม่ได้ไปต่อ หลังจากนั้นก็ตรงไปยาวๆ หลับไปตลอดทาง ตื่นมาอีกทีก็ถึงท่ารถอุดรแหละ ใช้เวลาไปประมาณ 2 ชั่วโมงนิดๆ ถามพนักงานว่า นานแบบนี้เลยหรอ พนักงานบอกว่าวันนี้ตรวจนาน และระหว่างทางตำรวจไทยตั้งด่านด้วยเลยขึ้นมาตรวจกระเป๋าทีล่ะคน ลงจากรถปับ โดนรุมทันที(พวกสามล้อ) เลยรีบเดินออกไปข้างนอกตั้งหลัก เดินไปเรื่อยๆ ด้วยความหิวโซ และต้องการกินอะไรก่อนขึ้นเครื่องด้วย
กินอิ่ม เดินทางต่อ หารถไปสนามบิน (ถามประชาสัมพันธ์เซ็ลทรัล เค้าบอกว่าต้องนั่งรถสามล้อไป พราะจะเข้าข้างในด้วย) เลยหารถสามล้อ (คล้ายกับจัมโบ้ที่ลาวเลย) ราคาตกที่ 150 บาท (โคตรแพง) แต่ระยะทางพอได้นั่งไปจริงๆ ก็แอบบไกลเหมือนกันน่ะ ตอนจะขึ้นรถดันลืมแว่นตาสุดเท่ ที่ร้านสุกี้ซะอย่างนั้น เลยต้องวิ่งกลับไปเอา ทางร้านเก็บไว้ให้ (ขอบคุณคร้าบบบบ)
บทที่ 18 เช้าวันสุดท้าย
ตื่นมาต่างจากวันอื่น เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่อยู่ลาว (ยังไม่ได้อยากกลับเลยยย ให้ตายซิ) ลุกจากเตียง ได้ยินเสียงดังกว่าวันอื่น เดินออกไปที่ระบียง ชะโงกดูข้างล่าง เห็นเด็กๆ นักเรียน รถเยอะกว่าทุกวัน มีเด็กไปเรียน มีผู้ใหญ่ไปทำงาน ชีวิตประจำของที่ี่กำลังเริ่ม อาบน้ำ เก็บของ (ของหนักกว่าขามาอีก) เบียร์ เหล้านี่มันหนักจริงๆ 55+ ยังไม่กลับเพราะมีภารกิจสำคัญ นั่นคือการไปส่งไปรษณีย์ คืนรถมอไซค์ และจองตั๋วรถทัวน์ ลงมาจากห้องออกโรงแรม ยังไม่ได้เช็คเอาท์ แล้วรีบแวันไปที่ทำการไปรษณีย์ ทันที (อยู่ข้างตลาดเช้า) จอดรถเข้าไปข้างในถามพนักงานแถวนั้นว่าส่งจดหมายต่างประเทศช่องไหน….ช่อง 6….ส่งเรียบร้อย แค่บอกว่าพนักงานในช่องว่า “Thailand” จ่ายตังค์แล้วเดินออกมาเลย ไปทำอย่างอื่นต่อ ขี่มอไซค์ออกมายามเรียกเก็บเงิน(ยามหรือเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่าเฝ้ารถ) ประมาณ 20 บาทมั่งจำไม่ได้(แพงกว่าค่าจอดรถที่มาบุญครองอีก) ออกมาขับรถออกไปท่ารถทัวน์ (อยู่หลังตลาดเช้า :D อยู่ใกล้ๆ กันหมด) รถทัวน์บางคันก็มาจากอุดร, หนองคาย เต็มไปหมด ค่าตั๋ว์ไปลงอุดร 20,000 กีบ(80 บาท) รถออก 11 โมง ซื้อตั๋วเสร็จก็ออกไปหาอะไรกินตอนเช้า และขับรถชิวๆ อีกรอบก่อนคืนรถที่ร้าน……ขับไปหาร้านเฝ่อที่คนขายขนมปังแถวโรงแรมแนะนำ ว่าอยู่แถวพระธาตุดำ วนอยู่สักพัก หาไม่เจอ แต่ไปลองนั่งตามแถวนั้น เป็นร้านคล้ายๆ อาหารตามสั่ง คนโล่งและดูเงียบดี เป็นร้านที่บอกได้ว่าเสียดายน่ะ เพราะอาหารอร่อยโดยเฉพาะลาบ (แต่เค้าผัดแบบแห้งๆ ) ราคาไม่แพงประมาณ 25-35บาท เยอะด้วย กินเสร็จก็ขับรถไปส่งที่้ร้าน นำมันยังเหลือมากกว่าที่เช่าวันแรกอีก :D ขอบคุณเจ้าของร้านที่แถมให้ยืมรถตอนเช้า (วันที่ 3) ด้วยเพราะตอนแรกเช่า 2 วัน และไปคุยกับเค้าว่าขอคืนช่วงเช้าได้ไหม ทางร้านโอเค น่ารักมากครับ ใจดีด้วย เดินกลับโรงแรมเผื่อเก็บของเตรียมกลับบ้าน รอเวลาขึ้นรถทัวน์ 11 โมง…เช็คอิน เดินออกจากประตูโรงแรม(ทุกทีเวลาออกไปไหนออกทางข้างโรงแรม เพราะมีที่จอดรถมอไซค์(ฮา) ไม่ค่อยได้ออกประตูหน้าเท่าไร)
บทที่ 17 ”ตึ๊ด ตึ๊ด”
ช่วงเย็นๆ หัวค่ำ หลังจากไปเก็บของอาบน้ำ เตรียมเที่ยวกันต่อ ไปที่ริมโขงก่อนเลย ช่วงเย็น วันอาทิตย์แบบนี้ จะมีคนเอาของมาขาย (เหมือนตลาดคนเดินแต่ไม่เยอะเท่าานั้น) เดินไปเรื่อยๆ ร้านก็จะประมาณ เสื้อผ้า สิ่งทอ ชุดพื้นเมือง พวกกระโปรงถักทอเป็นส่วนใหญ่ ของขายน้อยไปหน่อย ไม่เยอะเท่าที่คิด ไม่ค่อยมีอะไรโดนๆ เท่าไร ว่าจะไปเที่ยวผับ แต่ไม่รู้จะไปแถวไหน ร้านไหน เลยตกลงกับก้อย ก่อนว่าจะไปกินข้าวให้เรียบร้อยจะได้ไม่หิวเวลาอยู่ที่ผับ ดิ่งไปร้านแถววัยรุ่นกินข้าวกันเหมือนเดิม สั่งก๋วยเตี๋ยวกับข้าวหมูแดงเหมือนเดิม นั่งไปเหล่วัยรุ่นไป หาโอกาสไปถามร้านเหล้า…..จังหวะเหมาะ!!!! เดินไปหาวัยรุ่นชายคนหนึ่ง ถามว่า แถวนี้มีผับให้เที่ยวไหม วัยรุ่นชายก็ งง เหมือนฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง ฟังไทยไม่ค่อยออก คุยไปสักพัก ได้ใจความประมาณว่า เค้าไม่ค่อยเที่นวกลางคืน แถมพูดงงๆ ด้วย เลยเออออห่อหมกแล้วเดินออกมา…ขอบคุณคร้าบบบบบบ…กลับมาที่โต๊ะกินข้าว ตั้งหลักอีกที ทีนี้ให้ก้อยไปถามโต๊ะข้างๆ เป็นแก๊งค์วัยรุ่นกลุ่มใหญ่ 5-6 คน ผู้หญิงกับกระเทย ถามไปได้คำตอบมาว่า ดีๆ ก็มี 2 ที่ ชื่อว่า โนโวเทล (คุ้นๆ ไหมครับ ก็ของคนไทยแหละ ผับของโรงแรมโนโวเทล) อีกที่ชื่อว่า มีน่าผับ วัยรุ่นลาวเล่าสั้นๆ ว่า ไปมีน่า ม๋วยหลายกว่าเยอะ หลังจากได้ฟังคอมเมนท์ แค่นั้นแล้ว ตัดสินใจได้เลยว่าเราจะไปผับมีน่า ก็เลยถามย้อนไปว่า แล้วพวกเธอไม่ไปกันหรอ วันนี้ไปที่ไหนกันหรอ ชาวแก๊งค์ตอบกลับมาได้อย่างน่ารักว่า “อ๋อ วันนี้ ข๋อยบ่มีโปรแกรมเน้อ” อืมม เยี่ยมครับ หลังจากได้แหล่งเที่ยวแลัว สักพักก็เรียกพนักงานเก็บแล้วบึ่งไปทันทีขับไปเส้นเดียวกันกับไปสะพานมิตรภาพลาว-ไทย แต่ไม่ได้ไกลขนาดนั้นประมาณ 15 – 20 นาทีก็ถึง ลักษณะผับที่นั่นใหญ่และค่อนข้างเด่นเพราะแถบนั้นเป็นพื้นที่โล่งเตี่ยน เข้าไปจอดรถเสียค่าจอด 2,500 กีบ พนักงานสุภาพแทบจะเข็นรถให้เราเลย
เข้าไปในร้านพนังงานเก็บไปหมดแต่งตัวเหมือนบ๋อย ทางเข้ามีต้นค้นตัวกับกระเป๋าด้วยน่ะ …ในผับ นั้งกันอยู่ 1 โต๊ะถ้วนเท่านั้น ยืนงงๆ หาที่นั่ง ไปที่นั่งแถวใกล้ๆ บาร์ และใกล้ห้องน้ำ (จะได้สังเกตวัยรุ่นลาวได้) สั่งเบียร์มา 1 ขวดก่อน ราคา 20,000 กีบ (80 บาท) ถามบ๋อยมีกับแกล้มไหม (บ๋อยได้ใจมากคุยเก่ง) ได้ถั่วกับเนื้อแดดเดียวแห้ง(เนื้อควาย) ราคา 20,000 กีบ เท่ากันหมด มีอยู่ 2 อย่าง วัยรุ่นที่นี่เริ่มมา ประมาณ 4-5 ทุ่ม ผู้หญิงที่นี่แต่งตัวธรรมดาน่ะปกติ นานๆ จะเห็นแต่งตัวสวยๆ เต็มที่ แบบบ้านเรา ยิ่งดึกไฟยิ่งเต็มรูปแบบ แสงตระการตามาก เพลงไม่ได้เปิดดังมาก พอคุยได้ยิน แนวเพลงที่เปิดก็เพลงไทย ฝรั่ง ลาว ลดหลั่งตามลำดับ มีจอสไลด์ด้วย ตอนแรกก็คิดว่าจะมีบอลให้ดูแน่นอน กลับเป็นว่า เค้าฉายหนัง!!! แล้วที่สำคัญ ดันเป็นหนังเรื่อง บ้านผีปอบ ภาค 10 โอ้วววว นี่กรูมาร้านแนวเลยน่ะเนี่ย 555+ ไม่มีใครดูเลยน่ะ จะมีก็บ๋อยเนี่ยแหละ นั่ง+ยืนดูกัน ห้องน้ำนี่เด็ดมาก มีแป้ง มีหวี ให้เสริมสวยตลอดเวลาไม่ได้มีแต่ห้องน้ำหญิงน่ะ ชายก็มีกับเค้าด้วย
บทที่ 16 ตะลอน
ขับรถไปเที่ยวต่อ แวะไปที่พระธาตุหลวง ที่นี่เป็นลานกว้างมากกกกกก ตัวพระธาตุสีทองลักษณะคล้ายๆ วัดอรุณบ้านเรา ร้อนตับแตก นั่งเล็งถ่ายรูปไปมา ก็ทนไม่ไหว เดินกลับมาที่รถ เผื่อขับไปที่อื่นต่อ ผ่านพระธาตุดำ พระธาตุดำจะเป็นวงเวียนเล็กๆ ให้รถผ่านเฉยๆ สวยดี ที่ดำเพราะตัวพระธาตุเป็นปูน-อิฐ แล้วโดนเผาล่ะมั่งครับ(ไม่ได้อ่านประวัติมา) พระธาตุดำนี่อยู่ในตัวเมือง คล้ายๆ เจดีย์ บ้านเรามีหญ้าขึ้นแซมๆ ความสดชื่นของสีเขียวต้ดกับความขลังของสีดำ เข้ากันลงตัวดีเหลือนเกิน ขับผ่านประตูชัย ว่าจะแวะไปกินกระเปี๊ยบอีกรอบ(ติดใจ) แต่เค้ากำลังเก็ยพอดีเลยอด เลยขับรถวนแถวโรงแรม (จะสังเกตได้ว่าผมขี่มอไซค์ท้งวัน) แวะไปหาอะไรกินตอนช่วงเที่ยงกว่าๆ แต่ผิดคาด มันดูเงียบมากๆ ไม่มีอะไรขายเลย จะเหลือก็แต่ร้านขายขนมปังฝรั่งเศษ เดินไปเดินมาถามคนแถวนั้นว่าทำไมมันเงียบผิดปกติ…ได้ความว่า คนที่นี่จะพักผ่อนช่วงบ่าย ช่วงบ่ายแก่ๆ จนเย็น จะกลับมาขายอีกที ดีชะมัด เลยต้องไปร้านขายขนมปัง โชคดีที่มีมาม่ามาด้วย เข้าโรงแรม ไปเอาของเก็บและแวะไปที่ตลาดเช้าอีกครั้ง เพื่อที่จะไปซื้อของฝากอีกครั้ง
มาถึงตลาดเช้าที่ขายทั้งวัน ก็เดินๆ ดูของฝาก….สิ่งที่ได้มา เสื้อยืด 60-70 บาท บุหรี่ดอกไม้แดง 15 บาท กาแฟลาว 3 รส 100 บาท และที่แพงที่สุดแต่สมใจอยากก็คือเสื้อบอลทีมลาว 200 บาท ช่วงนี้เริ่มเห็นโฆษณา สินค้าของซีเกมส์ เพราะสิ้นปีนี้มีจดทืี่ประเทศลาวนี่แหละ (อ๋อได้ลองกินกาแฟของลาวด้วย ไปกินร้านที่มีคนเยอะ ร้านประมาณว่าเป็นบูธเหมือนร้านกาแฟบ้านเรา ขมๆ กลิ่มหอมดีแต่ไม่คุ้นเท่าไร อร่อยไปอีกแบบ) เดินซื้อซะเยอะ เพลินๆ หลังจากนั้นไปเติมน้ำมันก่อนเลย เพราะคืนนี้เต็มที่แน่นอน555+ ก่อนกลับโรงแรม แวะขายขายโปสการ์ดแถวโรงแรมก็ซื้อมา 10 ใบ เตรียมเขียนให้ พี่น้องและพองเพื่อน และค่อยกลับโรงแรม เตรียมไปตึ้ด ตึ้ด คืนนี้(ใครไม่เข้าใจคำว่า ”ตึ๊ด ตึ๊ด” ก็โทรมาถามล่ะกัน 5555+
บทที่ 15 อาหารเช้า
ตื่นมา 8 โมงเช้า เปิดทีวี ดูดราก้อนบอล…555+ อาบน้ำ แปรงฟัน เตรียมลงไปซัดอาหารเช้าเต็มที่ (ที่คิดไว้กะไปกินพวกไส้กรอก ไข่ดาว ออมเร็ต..ปกติชอบกินมาก พวกอาหารโรงแรมเนี่ย) ลงไปปุป ทำไมเงียบๆ (ว่ะ) พอสอบถามว่ามีอะไรกินบ้าง พนักงานโรงแรมเลยบอกว่าให้นั่งรอเลยค่ะ…ระหว่างที่รอก็แอบเห็นพนักงานออกไปซื้อขนมปังร้านข้างๆ มา เดินลุกไปชงกาแฟมากินแก้ง่วง พนักงานก็เสิร์ฟน้ำเปล่าคนล่ะแก้ว หลังจากนั้น ก็ได้เวลาอาหาร จายใหญ่มาเลย….ในจานประกอบไปด้วย ไข่ดาวแบบ 2 ฟองรวมกัน + ขนมปังแบบฝรั่งเศษยาวๆ แข็งนอกนุ่มใน แต่หั่นเป็นชิ้นๆ มาให้แถม แยมกับเนย…จบ มานั่งนึกว่ามีอะไรเนื้อๆ ให้กูไหมเนี่ย แต่ก็กินเพลินๆ อร่อยดี….กินเสร็จก็แว้นกันต่อ วันนี้ตั้งใจจะไปสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แต่อยู่ที่เรียกว่า สะพานมิตรภาพลาว-ไทย ซึ่งก็เป็นสะพานเดียวกับที่นั่งรถไฟมาเนี่ยแหละ ซึ่งขับไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ไกลมากกกกก (ประมาณคร่าวๆ ก็จากปิ่ลเกล้าไปพัฒนาการ) ข้างทางก็จะคล้ายต่างจังหวัดบ้านเราเหมือนขับอยู่บนถนนสายเอเซีย แต่ไม่มีเกาะกลางและมีทั้งหมด 4 เลน (มีรถสวนด้วยไม่ใช้ one way แหละ)
เมื่อมาถึงก็หาที่จอดรถ ที่นี่เป็นลานกว้างๆ จะมีตึกอยู่ไม่กี่ตึก ที่นั่นจะเป็นเป็นด่านตรวจคนเข้าเมือง อีกตึกก็จะเป็นพวกขายของที่ระลึก(อีกแล้ว) มี Duty Free ด้วย เข้าไปหลบแดด ตากแอร์เย็นๆ พนักงานขยบางคนก็ดูเชิ่ดๆ ดีจัง เดินๆ เบียร์กระป๋องถูกกว่าข้างนอกประมาณ 5 บาท เลยซื้อเบียร์ เหล้าขาว และว๊อดก้าของลาว ก่อนซื้อก็มีให้ชิมด้วยน่ะ เล่นไปจนร้อนวูบเลย คุ้มกับการแว้นมาไหมเนี่ย 55+ เล่นซะตัวดำเลย บังเอิญมากไปเจอที่ชงกาแฟแบบเวียดนามที่พี่เออยากได้ ไม่คิดว่าจะมีที่นี่ เลยซื้อมาเลย โชคดีชะมด ระหว่างที่ขับกลับ ก็สังเกตตามข้างทาง ไม่ค่อยมีบิลบอร์ด หรือป้ายโฆษณาอะไรเท่าไรนัก (แทบจะนานๆ ทีด้วยซ้ำ) ตึกสูงก็ไม่มีให้เงยปวดคอ ไม่เปลืองยาแก้ปวดเมื่อยดีแท้
ด่านตรวจคนเข้าเมือง
บทที่ 14 แหล่งวัยรุ่น
บทที่ 13 คนที่คุณก็รู้ว่าใคร
หลังจากใช้เงินเป็นหมื่นๆ ไปกับการลองชิม(นี่แค่ลองชิมน่ะ 55+) ก็นั่งรถกลับมาที่โรงแรมก่อน กลับมาอาบน้ำ เพราะยังไม่ได้อาบตั้งแต่เช้า (อายจัง จริงๆ ไม่อยากเขียนลงไปน่ะเนี่ย) แล้วก็ตั้งใจนอนหลับพักผ่อนก่อน กะออกมากินเหล้า เที่ยวกลางคืนอีกที…ZZZZZZZZZZZ
ตื่นมาประมาณทุ่มกว่าๆ ไม่อยากเชื่อ!!!….บนถนนเงียบมากๆ เดินไปแถวย่านวงเวียนน้ำพุ มีร้านเหล้ากินข้าวเยอะแยะ ร้านนั่งชิวๆ แต่ลูกค้าก็ประมาณฝรั่งเลยเฉยๆ มากกว่าความรู้สึกไม่ต่างจากบ้านเรา เดินเตร่ไปเรื่อยๆ พี่ Opal แนะนำให้ไปร้าน JOMA เบอเกอรี่ เค้าบอกว่าอร่อย แต่ก็ไม่ได้ไปกินเพราะเหตุผลคือไม่ได้อยากกินเบอเกอรี่เท่าไร เดินไปเรื่อยๆ ดี เจอหญิงสาวลาวแต่งตัว XX พอเดาได้เลยว่ามีงานเสริมแบบเดียวกับที่บ้านเรามี (เปิดเพลง”คนที่คุณก็รู้ว่าใคร”ของสแตมป์ จะได้อารมณ์มาก 55+) คริคริคริ หลังจากที่ทำเป็นเดินผ่านไป 2-3 รอบ สรุปมาได้ดังนี้ หน้าตาก็โอเคน่ะครับคล้ายๆ บ้านเราแบบทางอีสาน แต่ผิวพรรณ ดูเนียนกว่า เธอแต่งตัวได้เปรี้ยวและแต่งหน้าได้ผิดธรรมชาติของสาวลาวมากครับ เลยมั่นใจว่าใช่..นอนแน่ เอ๊ย แน่นอน (ฮา) (ติดมากับก้อยไม่งั้น ผมคงกลับมาเล่าได้เยอะกว่านี้ 55555+) เดินแล้วคงไม่ได้อะไรแน่ๆ เลยตัดสินใจกลับโรงแรม ไปเอามอไซค์ ออกไปให้ไกลกว่าเดิม แต่ความผิดพลาดก็ตามมาคือ น้ำมันจะหมด แล้วปั้มที่นี่ก็ปิดเร็วมาก ไม่ทันได้เติม(ตอนเช่ามามีอยู่ครึ่งถัง) เลยไปไหนไกลมาไม่ได้เลยขับวนๆ รอบถนนแทบนั้น แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้วครับ หึหึหึ
บทที่ 12 วนเวียนเวียงสวรรค์
ว่าจะสั่งเบิ้ล เพราะไม่อิ่ม แต่มาชะงักไว้ก่อน เพราะเด๋วลองไปดูอย่างอื่นบ้าง ตอนอยู่บนรถกะบะมาโรงแรม มีคนแนะนำให้ไปร้าน “แหนมเนืองเวียงสวรรค์” เค้าบอกอร่อยต้องลอง ขับวนไปเรื่อยๆ เพลินๆ หลงบ้าง วนจนตำรวจที่ป้อม จำได้ 55+ แผนที่ไม่ค่อยได้ช่วยอะไรเลยยย พลาดไป 40 บาทแน่ะ วนไปเรื่อยๆ เจอสนามกีฬาแห่งชาติ ของลาว แลดูเล็กๆ แต่ไม่ได้เข้าไปเพราะกำลังซ่อมแซมเตรียมขัดซีเกมส์กันอยู่ ตอนแรกก็กะไปหาซื้อเสื้อลาวขาย แต่คนแถวนั้นบอกไม่มีขาย (แถวสนามกีฬาก็เปนบ้านคน) เลยอดไป ตอขากนั้นก็เลยไปอีกหน่อย เจอกับพิพิธภัณฆ์แห่งชาติ ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจจะเข้าไปเท่าไร เพราะไม่ค่อยเรื่องประวัติศาสตร์-สังคมอยู่แล้ว แต่ก็อ่ะน่ะ มาแล้วนี่ ก็ต้องไปศึกษาดูบ้างบรรยากาศต้องตัวก็เงียบๆ มีแต่ฝรั่ง คล้ายบ้านเราแต่เล็กก็เยอะ ค่าเข้าก็คนล่ะ สิบพันกีบ (40บาท) คนที่นี่ไม่เรียกหน่วยหมื่น แต่จะเรียกว่า สิบพัน เน้อ….โดยที่เข้าไปจะมีตู้ให้เก็บสัพพาระและกล้องด้วย(ข้างในห้ามถ่าย) แอร์เย็นสบาย ข้างในก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมา ชุดประจำเผ่า วิถีชีวิต มีคำบรรยายภาษาอังกฤษ และลาว เลยอ่านไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไร เดินประมาณ เกือบ ชั่วโมง มี 2 ชั้น……..เดินไปสักพกมารู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยที่จะสนใจเรื่องราวแบบนี้เลย มิน่า เรียนสังคม คะแนนน้อยทุกที(วิชาอื่นๆ ก็พอกันน่ะได้ข่าว) หลังจากนั้นก็ขับไปเรื่อยๆ ถนนที่นั้นจะขับง่ายเพราะเป็นแบบ one way ซะมากกว่า ขับไปผ่านสนามโล่งๆ มีคนถือธงเยอะแยะ ตอนแรก็คิดว่ามาแข่งกีฬาสีกัน กลับกลายเป็นว่า…..เขากำลังซ้อมพิธีเปิดซีเกมส์อยู่!!!! (ได้ดูก่อนใครเพื่อน) ขี่ไปเรื่อยจนเกือบ 4 โมงเย็นกว่าๆ เลยวนหาร้าน “แหนมเนืองเวียงสวรรค์” ….วนหานานมากกกกก วนรถไปมาจนจำถนนแถวนั้นได้หมดแล้ว เกือบครึ่งชั่วโมงทนไม่ไหว ถามทาง ถามไปงงไป ช่วยอะไรไม่ค่อยได้เยอะ เพราะงงภาษา 555+ เลยถามอีกทีแต่ครั้งเป็นชาวแก๊งค์รถจัมโบ้…คนลาวบางคนฟังภาษอีสานบ้านเราออกน่ะ ภาษกลางกลางแบบผมก็พูดทีล่ะคำเน้นๆ ที่ฟังออกส่วนมากจะเป็นพวกแม่ค้า คนขับรถจัมโบ้ ซะมากกว่าพวกวัยรุ่นซะอีก คงเป็นเพราะคุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวคนไทยมากกว่า…ในที่สุดก็ถามทางจนเจอร้าน “แหนมเนืองเวียงสวรรค์” ร้านนี้ก็ขายพวก แหนมเนือง จิ้มจุ่ม เป็นส่วนใหญ่ ก๋วยเตี๋ยวหลอดก็มีน่ะ สั่งเลยอร่อยทุกอย่าง ทีแรกก็กะจะมาลองเฉยๆ แต่ขับวนรถนานมาก มาทังทีก็เต็มที่ซะหน่อย สั่งแหนมเนือง 2 ชุด และลองสั่งชุดจิ้มจุ่มอีก 1 ชุด (ราคาที่นี่เป็นหมื่นๆ) จิ่มจุ๋มที่ลาวมี 2 แบบ แบบหม้อดิน กับแบบที่คล้ายๆ ร้านเอ็มเค (แบบเสียบปลั๊ก) น้ำจิ้มจุ่มจิ้ม อร่อยดี ไม่เผ็ดมาก มีกลิ่นปราล้านิดๆ เจ็มข้นดี ส่วมแหนมเนือง จะคล้ายๆ บ้านเรารสซาติก็โอเค ต่างกันตรงผักซะมากกว่า มื้อนี้หมดไปเป็นหมื่นๆ เกือบครึ่งแสน 555+ แพงกว่าไปกินปูที่ร้านสมบูรณ์โภชนา (ใครที่ไม่รู้จักร้านสมบูรณ์โภชนา ไม่ต้องแปลกใจ เพราะรู้จักเฉพาะคนที่ฐานะน่ะครับ ส่วนผมอยู่ใกล้บ้าน55+)
บทที่ 11 อร่อยข้างประตูชัย
จอดมอไซค์ เดินไปดูรอบๆ ….ใหญ่กว่าที่คิดไว้มากกกกกก เดินไปใต้ประตูชัยก็มีร้านขายของ มีเบียร์ให้นั่งกิน แต่ร้านมีแค่ ร้านสองร้านเอง เสียค่าขึ้นด้วยน่ะ คนลาวเสีย 2,000 กีบ คนต่างชาติ 3,000 กีบ (คนไทยคือคนต่างชาติน่ะจ๊ะ) มีประมาณ 4 ชั้น เดินเหนื่อยใช้ได้เลย (บันไดสูง) ชั้น 2-3 มีขายของเต็มหมด พวกเสื้อยืด ธง พวงกุญแจ ที่ระลึกแบบต่างๆ ข้างบนสุดภายในเป็นอิฐโล่งๆ มีคนขีดเขียนเต็มไปหมด พอขึ้นไปแล้วก็ได้เห็นวิวถนนของลาวนี่แหละ…ข้างบนไม่มีอะไรให้ถ่ายเลย 55+ แนะนำให้ลงมาถ่ายรูปข้างล่างเหมือนเดิม นอกจากจะลงกลับไปชั้น 2-3 ซื้อของฝาก มีพนักงานสาวคนนึง แน่นอนจริงๆ …คริคริคริ (หัวเราะแบบมีเลศนัย) ของฝากก็ไม่ต่างกับตลาดเช้าเท่าไร เสื้อยืดมีหลายเนื้อผ้ามาก ปัญหาการซื้อคือ ลายโอเค เนื้อผ้าไม่ดี พอเนื้อผ้าดี แต่หลายไม่เจ๋งอีก
บทที่ 10 ตลาดเช้า-ประตูชัย
ตลาดเช้า เป้าหมายแรกของเรา (เห็นชื่อแบบนี่ มันก็เปิดทั้งวันแหละ) มาถึงก็หาที่จอดรถของมอไซค์…10 บาท สำหรับค่าจอด บรรยากาศจะออกแนวคล้ายๆ อืมมม พวกแฟชั่น มอล์ล แต่จะไม่ใหญ่เท่านั้นมีประมาณ 4 ชั้นของท่ขายก็จะมีเสื้อผ้าวัยรุ่น ของที่ระลึกพวกรูป โปสเตอร์ พวงกุญแจ ผ้าทอ กำไรแขน สร้อยมือ แผ่นเพลง MP3 หนัง ละคร ไทย เกาหลี ให้เพียบ เดินหาที่แลกเงินของลาว ที่ธนาคาร แต่ซวยหน่อย ธนาคารที่จะไปแลกมันปิด เลยไปแลกตามจุดธนาคารอื่นๆ แทน….แลกเงิน 2,000 บาท…ได้กลับคืนมา เออ..500,000 กีบ!!!!! (ไม่เคยมีเงินแสนด้วย ทำตัวไม่ถูก) คิดจะซื้อบ้านแถวนี้สักหลังสองหลัง สักพัก เดินออกไปดูราคาสินค้านู่นนี่…ราคาก็เป็นหมื่นกีบ……กลับมาพอเพียงต่อ(ใช้ชีวิตกันแบบMOSOเลยทีเดียว 55+) ออกมาข้างนอกก็มีร้านค้าน่ะ อันนี้จะคล้าย ของถมบ้านเราเลย มีเครื่องใช้ไฟฟ้า เสื้อยืดลายสกีนต่างๆ บุหรี่ เหล้า กาแฟ หนังสือ แต่ผมซื้อแผนที่ของเวียงจันทร์มาดู…ภารกิจแรก จบไป ก็ออกเดินทางไปประตูชัยก่อนเลย ตอนขับรถก็ต้องระวังเพราะไม่ได้ชิดซ้านแหละต้องชิดขวา เรื่องเส้นทางกับการหาปรตูชัยเนี่ยหาไม่ยากเลย เพราะมันใหญ่ และพื้นที่สถาพบ้านเมืองที่นี่ ตึกไม่สูงมากนัก ประตูชัยอยู่ตรงกลางของถนน คล้ายๆ วงเวียนใหญ่บ้านเรา แต่ใหญ่กว่าครับ ประตูชัยถูกสร้างด้วยซีเมนต์ที่อเมริกาทิ้งไว้ตอนแพ้สงคราม ลักษณะของประตูชัยจึงเป็นพื้นผิวของซีเมนต์เฉยๆ ไม่ได้ทาสีใดๆ เหมือนอยู่ปารีส 555+