วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

"Laos is more" 6

ตะลอนลาว

ภาคสาม ตอน "Laos is more" 6

"ระ-หว่าง-ทาง"


ขอย้อนกลับไปเมื่อคืน(วันขึ้นปีใหม่)....หลังจากที่ countdown กันเรียบร้อยแล้วก็กลับที่พักกันปกติ แต่ไอ้พวกแก๊งค์ละอองดาวยังไม่อิ่ม เอ๊ย!! ไม่ง่วง..เลยออกไปเดินๆแถวนั้นอีกสักรอบ ร้านที่ผมไปนั้นจะคล้ายๆ โซนข้าวสารบ้านเราฝรั่งจะเยอะ แต่ที่ผมกำลังไปต่อนั้นคือเป็นลานเบียร์เลยซึ่งแน่นอนหนุ่มสาวชาวลาวอยู่ที่นั่น ประมาณเกือบๆ ตี 2 ระหว่างที่เดินไปลานรถจอดตามถนนข้างทางเยอะมากๆ ซึ่งพอไปคนก็ยังเยอะอยู่มีบ้างที่กำลังทยอยกลับ ลานเบียร์ที่นั้นก็เป็นยี่ห้อ"เบยลาว"สาวๆ ลาวหน้าตาน่ารักมาก แต่ที่สังเกตอย่างคือรู้สึกว่าลานเบียร์นี่แต่ล่ะคนมีตังค์กันทุกคนน่ะ ซึ่งทำให้พวกผมที่มาแวะๆ มาดูนั้น ดูกะเรกะราด ไปเลยเพลงที่เล่นตอนนั้นเป็นเพลงที่เปิดโดยดีเจแล้วซึ่งเพลงที่เปิดก็แนวๆ It's My Life ของ Bon Jovi (เพลงเก่าไปไหม) แต่มีจังหวะหนึ่งคือกลุ่มโต๊ะที่สาวแหล่มมีหนุ่มๆ มาด้วยจะไปมีเรื่องกับอีกโต๊ะหนึ่งที่มีชายล้วน ซึ่งโต๊ะชายล้วนเนี่ยเค้าเฉยๆ ก็ยืนเต้นกินเหล้าไป แต่ไอ้โต๊ะสาวแหล่มนี่ซิ นักเลงมากจะไปหาเรื่องให้ได้สาวๆ ก็ห้ามกัน ยิ่งห้ามก็เหมือนยิ่งยุ โชว์พาวกันต่อหน้าหญิง (เป็นกันทุกประเทศใช่ไหมเนี่ยไอ้เรื่องโชว์ต่อหน้าหญิง) พอนั่งชิวๆ ดูนู่นนั่นนี่สักพักก็เดินกลับโรงแรมพักผ่อนเตรียมเดินทางไปหลวงพระบางต่อ


ตื่นมาคนสุดท้ายของห้อง...อาบน้ำแต่งตัว ลงไปข้างล่างที่นัดรถจัมโบ้ไว้ไปท่ารถ....คนสุดท้ายของกลุ่มต่างหาก(ฮา) รีบขึ้นรถเพื่อให้ทันรถออก 8 โมง มองๆ ดูรอบๆ ดูโรงแรมดูถนนดูร้านค้าแล้วก็นึกว่าสักวันเวียงจันทร์ฉันต้องมากอีกให้ได้ ยังไม่ทันซึ้งอะไรมากนักพี่จัมโบ้ก็ขับมาถึงท่ารถแล้ว ที่ท่ารถคนน้อยกว่าที่คิด ก็เดินหารถที่ไปหลวงพระบาง พอไปถึงที่รถ มาเป็นกลุ่มแรกๆ เลยก็แจกตั๋วนั่งตามหมายเลจที่อยู่บนตั๋วเลย รถทัวน์ครั้งนี้ความรู้สึกอารณ์เหมือนรถเมล์ปรับอากาศสีน้ำเงินบ้านเราแต่สีเป็นแบบอื่นเดินทางประมาณ10-12 ชั่วโมงเริ่มทำใจแหละ กินยาแก้เมารถกันเหนียวไว้ได้เลย 8โมงก็แล้ว 8 ครึ่งก็แล้ว สุดท้ายรถออก 9 โมง....ขอบจั๊ย เมื่อถึงเวลารถออก บรรยากาศในรถก็ประปรายไปด้วยนักท่องเที่ยวหัวดำหัวทองรวมทั้งคนลาวก็เต็มคันรถเสียงก็ดังตามลำดับปกติ...จากทีแรกก็กะเอาไว้ว่าถึงหลวงพระบางก็ประมาณ 6 โมงเย็นก็เริ่มทำใจว่าคงถึงประมาณทุ่มกว่าๆ


ต่อไปนี้คือจะขออธิบายสภาพการเดินทางรถก็เหมือนรถปอ.อย่างที่บอกไปแล้ว ถนนนั้นก็เป็นแบบลูกรังตลอดเส้นทางทางโค้งก็คล้ายๆ เวลาเดินทางไป"ปาย"แต่เยอะกว่าเป็นโค้งสั้นๆ ถี่ๆ ริมเขาเลยถึงที่นี่ทำถนนแบบว่าไต่เขาไปไม่เหมือนบ้านเราที่ระเบิดเขาแล้วฝ่าไปถ้าปกติ 1 กิโลเมตรนั่งรถประมาณ 1 นาทีไต่เขาแบบนี้ถนนลัดเลาะแบบนี้พื้นผิดถนนแบบนี้ ก็ประมาณ 5-10 นาที ได้เลยน่ะระหว่างทางจากที่เริ่มคุยกันเรื่องนู่นเรื่องนี่กับเพื่อนก็เิร่มไม่มีเรื่องคุยต่างคนต่างหันหน้าหนีฟังเพลงของตัวเอง พอเพลงจบก็เริ่มแล้วหลับพักผ่อนพร้อมๆ กับสูดฝุ่นที่มาจากข้างนอกฝุ่นแดงๆ ที่แบบว่าแคะขี้มูกออกมาขี้มูกสีแดงแน่นอน(ฮา) ฝุ่นเยอะมากขนาดที่ว่าข้างทางเป็นต้นไม้เป็นป่าเขาทั้งๆ ที่ปกติต้นไม้สีเขียวแต่นี่เป็นสีแดงกลบเขียวมิดมากๆ จนมานั่งนึกว่าต้นไม้ใช้สีเขียวจากไหนสังเคาะห์แสงว่ะเนี่ย ผ่านไปได้สักหน่อยก็เริ่มมีหมู่บ้านบ้างบ้านก็เป็นอารณ์บ้านไม้กั้นๆ ลักษณะคล้ายเหมือนชาวดอยซึ่งบ้านก็ไม่ต้องทาสีเลยยังไงมันก็สีแดงแน่นอนจนนึกในใจว่าแม่บ้านจะซักเสื้อวันๆ นึงสักกี่รอบกันน่ะ เพื่อนคนนึงก็พูดมาคำหนึ่งหลังจากเห็นเด็กๆ ที่วิ่งเล่นแล้วพอรู้ว่ารถทัวน์ผ่านก็ออกมาดูกันว่า "น้อง เค้าจะรู้เปล่าว่ะมึงว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่" ผมก็ไม่แน่ใจว่ารู้หรือไหม เลยชี้ให้เพื่อนดูสิ่งหนึ่ง "มึง เห็นนั่นป่ะ ดาวเทียมสีแดงๆ (ไม่ใช่จานสีแดงจากทุยน่ะ แต่เป็นเพราะฝุ่นถนน)ใหญ่กว่าร่มชายหาดที่ชะอำอีกมึงกูว่าเค้ารู้ เผลอๆ ช่องสามจากไทยอาจชัดกว่าบ้านกูก็ได้"....นั่งจากเพลิดเพลินไปกับเส้นทางทางก็รถทัวน์ก็ได้แวะจอด 3 รอบ รอบแรกเป็นแวะเข้าห้องน้ำ ซึ่งพอลงไปก็เป็นลักษณะซุ่มขายของพวกน้ำ ผลไม้ ข้าวจี่(ข้าวเหนียวปิ้ง)(ก้อยชอบกิน ><) มันสำปะหลังทั่วไปมาขายกับกับนักท่องเที่ยว ส่วนรอบสอง อันนี้ทีเด็ดหน่อยตรงที่พักกินข้าว ซึ่งเอาหางตั๋วไปแลกข้าวหรือเฝ่อได้ 1 จาน กับข้าวก็มีหลากหลายเลือกไตามใจรักเลยอาทิเช่น ผัดเนื้อกับกะหลำ ผัดผัก หมูทอด ซึ่งอดคิดไม่ได้ว่านี่มันคืออาหารโรง'บาลหรืออาหารจากเมื่อวาน..ซืน(ว่ะ) เมื่อกินกันอิ่มหนำสำราญ(?) ก็ขึ้นรถแล้วดิ่งทันทียาวๆ พอรอบที่ 3 ประมาณ5-6 โมงเย็นได้อยู่ที่บนเขาลูกหนึ่งซึ่งพอลงจากรถเพื่อเหยียดแข้งเหยียดขา หนาวมากๆ ทั้งๆ ที่ยังมีแดดอยู่แต่มันหนาวแบบสะดุ้ง(บนรถไม่ได้รู้สึกหนาวเย็นแอร์เฉยๆ ) จากวิวที่เราดูแล้วตื่นตาตื่นใจก็เริ่มรู้สึกเฉยๆ เลยนึกถึงคำพูดของคุณเอ๋ นิ้วกลมที่ว่า "หลายจุดหมายที่สวยงามมีระหว่างทางที่น่าเบื่อ นั่นเองส่วนหนึ่งของการเดินทาง" มันจริงๆ เหมือนกันน่ะเวลาที่จะเจอกับสิ่งดีๆ บางทีก็มีสิ่งที่เราไม่ชอบหรือสิ่งที่ลำบากก่อนเสมอๆ



รูปวิวบรรยากาศระหว่างทาง ซึ่งได้ถ่ายกันตอนขึ้นรถใหม่ๆ
ตื่นเต้นกันมากจนกระทั่ง...ช่างมันเหอะ(ฮา)

ขอบคุณ Pepep Saenkham สำหรับรุป
all copy right reserve

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

"Laos is more" 5

ตะลอนลาว

ภาคสาม ตอน "Laos is more" 5

"ละ-ออง-ดาว"


ย้อนไปวันแรกก่อนว่า..ตั้งแต่ที่ขึ้นรถที่ข้าวสารหนุ่มๆ ในทริป ก็พูดชื่อคำๆ หนึ่งมาว่า "ละอองดาว" แล้วก็ยิ้มๆ จนมาถึงลาวก็ได้ดูว่ามันคือร้านคาราโอเกะทั่วไป(จริงๆ น่ะ) ซึ่งในทริปมีชายฉกรรจ์ 5 คน และ 4 ใน 5 คนนั้นพร้อมที่จะไปร้องเพลงคาราโอเกะกันมากๆ (ฮา) (ซึ่งปกติก็เหมือนพวกมึงจะร้องกันน่ะ) ซึ่งร้านนี้ได้จากแหล่งในหมู่เพื่อนอีกทีหนึ่งว่าให้ลองมา ซึ่งมานั่งคิดๆ ดูก่อนหน้านี้มาเวียงจันทร์ 2 ครั้งไม่เคยได้ยินชื่อ แต่ครั้งนี้ยังไม่ถึงเวียงจันทร์เลย เม่งเรื่องนี้ลอยมาแต่ไกล....อ้อ ครั้งนั้นผมมากับแฟน ครั้งนี้ต่างออกไป เพื่อนเพียบ!!!!


ก็ตั้งแต่ที่ได้เช่าจัมโบ้ ก็ได้ถามคนขับเหมือนว่ารู้จักร้านละอองดาวไหม พี่เค้าก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลยให้ตายซิโรบิ้น!!! พี่เค้าบอกว่าเด๋วผมพาไปส่ :P ก็หลังจากที่ทัวน์วัดวาจนเย็นกินข้าวเสณ็จเลยก็บอกพี่รถจัมโบ้ว่า เด๋วประมาณ 2 ทุ่มเจอหน้า รร. พาไปส่งด้วยน่ะพี่ ไอ้เราก็รีบอาบน้ำ เพราะตั้งแต่เย็นที่ข้าวสารจนมาเย็นที่เวียงจันทร์....เพิ่งจะได้อาบน้ำ --" แต่พออาบเสร็จนี่ก็ยังใส่เสื้อตัวเดิมน่ะ แต่สถานะเบื้องล่างจากรองเท้าผ้าใบเป็นรองเท้าแตะแล้ว เกือบๆ 2 ทุ่ม หนุ่มๆ ทั้ง 4 ก็ลงมาที่ล๊อปบี้กันพร้อมเพรียงแบบไม่ได้นัดหมาย (สารภาพว่าร้านคาราโอเกะนี่ส่วนตัวยังไม่เคยไปเลยน่ะ ถ้าคาราโอเกะตามโรงหนังแบบนั้นอ่ะ เคยแต่...แบบนี้ไม่เคยจริงๆ ครั้งนี้มีโอกาศที่จะเอามาในบล๊อกเผื่อผู้อ่านอยากรู้ผมก็ต้องไปจะได้กลับมาเล่าให้ถูก..อย่าง-ละ-ออง เอ๊ย!! ละเอียด :D ก็นั่งรถจัมโบ้ไปที่ร้าน ระหว่างทางก็จำทางไม่ได้หรอกน่ะว่าแถวไหนเพราะใจนี่จดจ่อไปกับ...เพลงที่อยากจะร้องมาก พอถึงที่ร้านก็ !!##$!@$@^@&$@#@%!#^^^$$**@ แต่ขอพูดถึงละอองดาวไว้อย่างคือเพลงคาราโอเกะที่ร้านนี่มีเพลง 25 hour, แทคทู คัลเลอร์ จาก smallroom เยอะมาก เยอะกว่าที่ร้านตาม major บ้านเราอีก เฉลียงยังมีเลย --"


ก็พอร้องจนคอแห้งก็ได้เวลา countdown แหละ ซึ่งร้านก็เป็นร้านเดียวกับครั้งที่เคยมาตอนปีใหม่กับก้อย..โดยที่ให้สาวๆ ไปร้านเผื่อจองโต๊ะ แล้วพวกเราก็ตามไปสมทบอีกที แต่เมื่อไปถึงปรากฎคนเยอะเว่อร์ๆ เลยไม่มีที่นั่งซึ่งเลยไปร้านร้านตรงข้าม ร้านตรงข้ามใกล้ร้านซุปเปอร์มาร์เก๊ตที่มากับก้อย Y_Y (วันนี้กินเบียร์อร่อยแน่ๆ ) เยื้องเป็นร้าน JOMA ร้านเบเกอรี่ที่พี่โอปอลล์ แบ๊คแพ๊กเกิลย์ แนะนำให้กินตั้งแต่ครั้งแรกที่มาลาว แต่วันนี้ครั้งที่สามก็ยังไม่ได้จะกินอยู่ดี 5555


ระหว่างกินเบียร์ ก็นั่งดูคนพลุ่นพล่านมากๆ ทั้งฝรั่ง ลาว ไทยบ้างเล็กน้อย แต่มันมีจังหวะหนึ่งคือเพื่อนอีกสองคนยังไม่ได้ออกจากโรงแรมแล้วไม่รู้จักร้าน ไอ้เราซึ่งได้รับมอบหมายให้โทรบอกพิกัดร้าน แต่ด้วยคลื่นโทรฯ ที่น้อยบางมากเลยการคุยเลยไม่ค่อยชัดเท่าไรจนเดินวนไปวนมา...กระทั่งได้ยินเสียง Countdown เลยวิ่งไปที่ร้านที่เค้าจัดงานเห็นเพื่อนๆ มากัยครบแล้ว...(กูวนหาเผื่อ --") ก็ร้องโวยวายกู่ก้องเต็มที่ต้อนรับปีใหม่กันพร้อมเพรียงที่นี่ ที่เวียงจันทร์ ที่ข้างเวที ที่ถนนเดิม ที่ฟุตบาท ที่เคยอยู่กับก้อย และที่ตอนนี้ไม่มีแบบนั้นอีกแล้ว สวัสดีปีใหม่น่ะก้อย เสียงเบาๆ ที่แอบพูดออกมาโดยมีเพลงเสียงกลบจนไม่มีใครได้ยิน เม่งไม่มีใครเลย


ภาพบรรยากาศแต่ละคนหน้านี่ไปแล้วเนี่ย เมามาก
(ในรูปมีไม่ครบ หาครบๆ ไม่เจอ)

ไอ้คนเสื้อขาวข้างหน้านี่ไม่รู้จักกันเลยน่ะแต่อยู่ดีๆ มาทักเป็นคนอะไรไม่รู้
แต่รู้ว่ามันเมาเลยสนิทสนมกันเฉยๆ
(สนิทกันซะพวกผมหายเมาและงงกับมันแทน...ฝรั่งข้างหลังก็ด้วย)

ขอบคุณ Pepep Saenkham สำหรับรุป
all copy right reserve

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วงเวียนชีวิต

เลิกกับแฟนหรอมึง -----> อยู่เฉยๆ ทบทวนตัวเอง -----> อยู่คนเดียวเบื่ออ่ะ -----> งั้นมึงทำงานไปเยอะๆ -----> งานน่าเบื่ออ่ะไม่มีแรงจูงใจ -----> อ่านหนังสือเชื่อกู -----> อ่านหมดบ้านแล้วเนี่ย -----> ฟังเพลงล่ะแหกปากร้องไป -----> ฟังเพลงแต่งมาเพราะกูหมดอ่ะ -----> หนังไง ไซไฟ ฮาๆ มีเยอะ -----> เรื่องนี้กูกะแฟนชอบ -----> งั้นอยู่กับเพื่อน -----> เพื่อนเม่งก็ถามเรื่องแฟนทั้งนั้น -----> เดินห้าง -----> ไปไหนมีแต่คนเดินควงกัน -----> ออกเดินทางไปคนเดียวค้นหาตัวเองเลยมึง -----> กูไปแล้วคิดถึงแฟน ไม่มีคนให้ระบายอ่ะ -----> เอาเพื่อนไปด้วย -----> เม่งคุยแต่เรื่องแฟนทั้งทริปเลย -----> ทิ้งของที่เป็นเธอให้หมดบ้าน -----> กูเสียดาย ----->จีบหญิงใหม่ -----> ถ้ามันไม่ดี เด๋วคิดถึงแฟนเก่า หนักไปอีกน่ะมึง -----> งั้นมึงอยู่เฉยๆ ทบทวนตัวเอง -----> อยู่คนเดียวเบื่ออ่ะ.......

"Laos is more" 4

ตะลอนลาว

ภาคสาม ตอน "Laos is more" 4

"หนึ่งวันกับจัมโบ้"


เดินลงจากรถก็เดินไปที่โรงแรม ด้านขวามือเป็นวงเวียนน้ำพุที่บอกไปว่าปิดปรับปรุง ส่วนด้านซ้ายก็ชี้ให้เพื่อนๆ ดูว่าคืนนี้วัน countdown จะอยู่ที่ร้านนี้ "ร้านขอบใจเด้อ" บรรยากาศรอบๆ เหมือนเดิมหมดมีเพิ่มเติมก็คือหน้าโรงแรมฝั่งตรงข้ามมี ร้านมินิมาร์ท ชื่อว่า "เอ็ม พอยมาร์ก" ที่นั่นมีร้านนี้เยอะ เหมือน 7/11 บ้านเรา แต่ปิดตีสองทุกสาขา...แถมในโรงแรมฝั่งร้านอาหารก็เปลี่ยนโซนขายพวกเพชรพลอยเครื่องประดับไฮโซไปซะแหละ มาเก็บของ อยู่เก้าคนก็สามห้องพอดีห้องล่ะสาม ชั้นที่พักคือชั้นสองริมระเบียงข้างนอกเหมือนกับครั้งที่ไปกับก้อย แต่ครั้งนั้นอยู่ชั้นสาม....ส่วนผมก็ไปนอนเป็นก้างขวางคอเพื่อนซะ (หึหึหึหึหึหึหึ) ก็พอเก็บของ..ล้างหน้าแปรงฟันกันซะพัก ประมาณสิบโมงกว่าๆ ก็ออกมาเจอกันที่ล๊อปบี้โรงแรม พอออกมาก็ตัดสินใจเช่ามอ'ไซค์กัน แต่ร้านที่เช่าเป็นประจำทั้งครั้งแรกครั้งสอง มันหมดไม่มีรถให้เช่าเลยก็คิดกันว่าหาไรกินกันก่อนแล้วหาร้านเช่าอีกที ก็เดินๆๆๆ ไปทางที่จะไปตลาดเช้าก็ชี้ให้เพื่อนดูร้านอาหารตามสั่งแถวพระธาตุดำ.."เฮ้ยกินร้านนี้ไหมอร่อยน่ะ สนป่ะกูเคยกินแล้วใช่ได้เลยๆ " ก็จังหวะที่เดินข้ามถนนจะไปร้านก็ได้เจอรถจัมโบ้(รถสามล้อบ้านเรานี่แหละ แต่ใหญ่กว่าเยอะ) ก็เลยคุยกันว่าเหมาดีกว่า เพื่อนบางคนก็แว้นไม่เป็น (ใครจะเหมือนมึงไอ้เบิ๊ด ไปไหนก็จะร้องขี่มอ'ไซค์) เพราะจุคนได้เยอะทีเดียวเลย เหมาไปตามที่ต่างๆ ที่พี่เค้าจัดให้ก็น่ะ 1,200 บาท (ก็ 300,000 กีบ พอดีเป๊ะๆ) เลยตัดสินไปนั่งรถจัมโบ้ไปแทนและให้พี่เค้าพาไปร้านอาหารตรงอื่น ก็ไปกินเกือบๆ ถึงริมโขงมื้อแรกที่นี่ไม่ประทับใจเท่าไร แถมแพงอีกต่างหาก (อย่าเชื่อพี่จัมโบ้มาก แนะนำว่าที่เวียงจันทร์ร้านอาหารที่นี่ เราสุ่มเองได้เลย ไม่ต่างกันมาก) กินกันเสร็จก็ไปแลกตังค์ตรงริมโขง (ขอเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เนี่องจากไปกัน 9 คน ผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 4 คน ตอนไปแลกเงินมีอยุ่สามช่องทางการแลกเงิน ผู้ชายทุกคน 5 คน ไปต่อที่ช่อง 2 กันหมด เพราะคนรับแลกสวยมากกกกกกกก โดยที่ช่องอื่นๆ เป็นผู้ชายหมด จึงถือได้ว่านี่คือปรากฎการ์ณธรรมชาติจริงๆ แล้วประเด็นคือไม่มีใครบอกกล่าวเลยน่ะ เดินไปต่อเองแบบไม่ได้นัดหมาย 5555 ) ที่ๆ แรก ที่จะไปคือ สวนวัดพระธาตุเชียงคอม(ไม่แน่ใจว่าเขียนถูกไหม) Xiengkuane Buddha Park ซึ่งไกลมากเส้นทางก็จากไปเวียงจันทร์ออกไปทางสะพานมิตรภาพลาว-ไทย เลยด่านตรวจเข้าเมืองไปอีก พอไปถึงเป็นเป็นลักษณะสวนและมีรูปปั้นต่างๆ เช่นเทวดา พระพุทธรูปคล้ายๆ กัยวัดโบราณกรุงเก่าของบ้านเราแต่ไม่ใหญ่เท่าจะมีอันหนึ่งที่เป็นจุดขายเลยก็คือเหมือนโดม(คล้ายเจดีย์) ใหญ่ขนาดคนเข้าไปได้ความสูงก็ประมาณบ้านสองชั้นได้ เป็นรูปดิบๆ เก่าๆ เลย ค่าเข้าก็ 5,000 กีบ (20 บาท) ถ้ามีกล้องก็เสียเพิ่มอีก 20 บาท เวลาที่อยู่ที่สวนนี่ก็ประมาณเกือบชั่วโมงครึ่ง ดูวัดดูรูปปั้นประมาณครึ่งชั่วโมง แต่นั่งกินเบียร์ริมโขงร้านในสวนประมาณชั่วโมง (ฮา)


ระหว่างทางไป "Xiengkuane Buddha Park"
(ถนนแย่ใช้ได้เลย)

บรรยากาศใน Xiengkuane Buddha Park

พอเสร็จอะไรเรียบร้อยก็นั่งรถจัมโบ้ออกไปที่อื่นต่อ ซึ่งที่ต่อไปก็คือนี่เลยสัญลักษณ์ของเวียงจันทร์..."พระธาตุหลวง"นั้นเอง มากี่ทีๆ ก็ชอบน่ะที่นี่ เป็นลานโล่งๆ ที่แบบว่าจะไปช่วงไหนก็แล้วที่เป็นกลางวัน บอกได้คำเดียวว่า แดดร้อนมวาก แต่ยังไงๆ ที่นี่ก็ต้องมาตอนมีแดดน่ะ ยิ่งฟ้าเปิด จะดีมากๆ เพราะแดดแรงๆ แบบนี้ เวลาสะท้อนกับพระธาตุหลวงจะสวยมากๆ มาถึงทางเข้าก็เสียค่าเข้าอีกเหมือนเดิม 5.000 กีบ พอมาถึงก็ไม่ได้เลยดูอะไรเท่าไร ปล่อยให้เพื่อนๆ ถ่ายรูปทัศนากันไป ส่วนตัวผมมานั่งอยู่มุมๆ หนึ่ง ซึ่งเป็นมุมที่ฮิตสุดแล้วสำหรับถ่ายรูปคล้ายๆ พระธาตุดอยสุเทพ จะมีมุมอยู่มุมเดียวที่นิยมชมชอบถ่ายรูปกัน นั่งชิวเหมือนเป็นเด็กเก็บตั๋วแถวนั้นเพราะนั่งถอดรองเท้า เดินเหยียบหญ้าดูติดดินมากๆ นั่งเขียนบันทึกอยู่นานพอสมควรมีรุ่นพี่คนหนึ่งมาทักว่าไปซื้อของที่ระลึก(โปรดคิดถาพตาม) จะเป็นลักษณะของโชว์ที่มีสถานที่จำลอง อยู่ในโดมแก้วมีน้ำเวลาที่เราเขย่าจะมีกระดาษสะท้อนแสงลักษณะให้ดูเหมือนมีหิมะลอยอยู่ในโดม (นึกไม่ออกว่าเรียกว่าอะไร) ซึ่งเค้าเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเค้าสะสมของแบบนี้ เพราะจะมีทั่วโลกเลยตามสถานที่ต่างๆ (เออ เพิ่งรู้เหะ เจ๋งว่ะ) คล้ายๆ กับพี่ชายผมที่จะสะสมบุหรี่จากทั่วโลก (ฮา) อันนี้ออกแนวติดลบไปหน่อยน่ะ ก็เลยอืมน่าสนใจดี เพราะมันเป็นสัญลักษณ์เลยตั้งไปซื้อแบบไม่ต่อราคาเลยมาหนึ่งอัน เผื่อกะเป็นของขวัญวันปีใหม่ให้ก้อยด้วย เพราะรู้สึกว่าเวียงจันทร์เป็นเมืองของเราทั้งคู่จริงๆ


นั่งเขียนอยู่สักพักเพื่อนก็ตามให้เลิกทำตัวติสแตกได้แล้ว แล้วกลับไปขึ้นรถเพื่อจะไปต่อ ระหว่างทางที่จะขึ้นรถ เพื่อนๆ ก็นำหน้ากันไปหมด เหลือบไปเห็นข้างๆ ทางเข้าพระธาตุฯ มีร้านขายเฝ่อ หรือกระเปี๊ยบนี่แหละ เลยดิ่งไปซื้อเลย ก็ได้มาชาม ชามล่ะ 20 บาท เดินไปซดไปอร่อยเหาะ ไปถึงเพื่อนๆ ก็ขอแจมกันบ้าง บางคนเสียดายอยากกินมากๆ แต่ร้านอยู่ไกลจากรถพอสมควรเลย กะไปหวังเอาข้างหน้า ที่ๆ ต่อไป และเป็นที่ๆ สุดท้ายของการเหมาครั้งนี้ก็คือประตูไชย (เวลาหมดไปกับการนั่งรถจริงๆ ) ประตูไชย....เป็นอะไรที่ใหญ่โตมากๆ มาทุกครั้งก็รุ้สึกแบบนี้ทุกครั้ง ครั้งนี้แน่นอน...แนะนำให้เพื่อนขึ้นไปข้างบนไปดูวิวจากข้างบน แต่เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมได้บอกไปว่าข้างบนไม่มีวิวอะไรเลยน่ะ ก็เล่าไปว่า "หนังสือไกด์ลาว มีคนเขียนไว้ว่า วิวจากประตูไชยเป็นวิวที่ไม่มีอะไรให้ถ่ายรูปเลย" เลยมีไม่กี่คนนั่งรอเป็นเพื่อนผม...ระหว่างรอก็นั่งเขียนบันทึก นึกถึงนู่นนั่นนี้ไปเรื่อย บอกตรงๆ ช่วงเวลานั้น โคตรคิดถึงก้อยเลย อดไม่ได้ที่จะมีน้ำตาซึมๆ ออกมา เวลามีเพื่อนมาทักก็ฟอร์มทำเป็นหาวไม่ให้ดูรู้ว่าน้ำตาเกิดมาจากอะไร....หลังจากนั้นก็จะไปวัดที่เคยมีพระแก้วมรกตเคยตั้งประดิษฐานอยู่ที่นั่น แต่เย็นแล้วเลยปิดจึงไปวัดแถบๆ นั้นแทน(จำชื่อไม่ได้ขออภัย) ช่วงเวลาที่อยู่วัดเพื่อนเหลือบไปเห็นรถเข็นขายกระเปี๊ยบเลยวิ่งจะตามไปซื้อแต่ก็อดเพราะขายหมดแล้ว...


พระธาตุหลวงย้อนแสง

ประตูไชยกับวิวที่ไม่มีอะไรเลย

ทริปนี้ไม่ได้ไปตลาดเช้าเลยเพราะกว่าจะเสร็จจากประตูไชยก็ค่ำแหละ นี่เป็นครั้งแรกมาเที่ยวลาวแล้วเขาวัดเยอะขนาดนี้ปกติมากับก้อยจะตลอนเที่ยวดูบ้านดูร้านไปเรื่อยไม่ได้สนใจท่าไรนัก สนใจแต่วิถีชีวิตมากกว่า หลังจากออกจากประตูไชยก็ดิ่งไปท่ารถเลย เพราะจะต้องไปซื้อตั๋วไปหลวงพระบางซึ่งกะว่าจะออกกันพรุ่งนี้เช้า..แล้วท่ารถที่เราจะไปก็ไม่ใช่ท่ารถตรงหลังตลาดเช้าอย่าที่เข้าใจเพราะท่ารถตลาดเช้าก็ท่าของสายใต้ แต่ที่เราจะไปเป็นสายเหนือซึ่งไกลจากตัวเมืองพอสมควรระยะทางพอๆ กับตอนไปวัดที่แรกเลย ไปถึงก็บรรยากาศเงียบมาก ดูคิวรถก็มี 8 โมง กับ 9 โมง เนื่องจากเดินทางไปหลวงพระบางใช้เวลา 12 ชั่วโมงกว่าจะถึง ก็เลยเลิกรถที่ออก 8 โมง เพราะไปถึง 6 โมงเย็นจะได้ไม่มึดมากน่ะ หลังจากตัดสินใจเสร็จก็ซื้อตั๋ว (VIP) คนล่ะ 130,000 กีบ ประมาณ 500 กว่าบาท จากการซื้ออันนี้แนะนำว่าให้ใช้เงินกีบเท่านั้น เพราะท่าเป็นเงินบาทเค้าจะคิดราคา 600 แบบปัดขึ้น เลย แนะนำว่าต้องแลกอย่าใช้เงินบาทไม่งั้นไม่คุ้ม...9 คน x 130,000 ก็เท่ากับ 1,170,000 กีบ โอ้วแม่จ้าววว ไม่เคยถือเงินล้าน ตอนไปซื้อตั๋วพี่หนักงานก็ถึงกับต้องเรียกหนักงานคนอื่นมาช่วยกันเลย(ฮา) ซื้อเสร็จก็กลับไปกินข้าวที่ร้านตรงพระธาตุดำ ร้านที่ตอนแรกว่าจะไปกินแต่ก็นั่งรถจัมโบ้ซะก่อน..(มาร้านนี้ก็คิดถึงก้อย Y_Y) กินกันเสร็จสรรพก็กลับโรงแรมไปอาบน้ำอาบท่าเตรียมไป countdown ต่อ แต่ประเด็นหลักๆ ของหนุ่มชายฉกรรจ์ทั้ง 5 มันไม่ได้อยู่ที่ร้านcountdown น่ะซิ ใจมันไปอยู่ตรงอื่นกันแว้ววววววววววววววววว


จบร้านข้าวแถวพระธาตุดำ


ขอบคุณ Aunchalee Sumakul สำหรับรุป
all copy right reserve

วันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

"Laos is more" 3

ตะลอนลาว

ภาคสาม ตอน "Laos is more" 3

"intro"


ตื่นมาประมาณห้าทุ่มหรือเที่ยงคืนนี่แหละ รถจอดไม่แน่ใจว่าที่ไหน แต่ก็ลงจากรถมายึดเส้นยึดสาย (นั่งเมื่อยขามาก) แบตของไอพอตนี่หมดไปตั้งแต่ยังไม่ถึงไหนเลยมั่ง เสื่อมได้อีก ของเพื่อนยังแบตยังไม่ถึงครั่งเลย….รถทัวน์ครั้งนี้ไม่เหมือนกับที่นั่งๆ มา เพราะทางรถไม่มีบัตรให้กินข้าวได้ เพราะฉนั้นเมื่อถ้าหิวไปซื้อข้าวก็จ่ายเองปกติ ก็ลงมาได้เอาห้องน้ำล้างหน้าล้างตาสักพักก็ขึ้นรถ…แล้วหลังจากนั้นรถก็ขับไปยาวเลย

ตื่น(อีกที)มาก็ถึงหนองคายแหละประมาณ 8 โมง รถมาจอดร้านอาหารร้านหนึ่ง(จอดเพื่อ???) ร้านอาหารก็ติดริมโขง แต่ไม่เห็นวิวอะไรมากเพราะหมอกลงแล้วฝั่งนู่นก็ไม่มีอะไรนอกจากต้นไม้นิดหน่อยกับถนนลูกรังปกติ พอจอดเสร็จลงมาทางพนักงานก็ขอ Passport ไปตรวจแล้วให้กรอกเอกสาร แล้วที่ร้านก็มีกาแฟ ไมโล ขนมปังให้กิน…..ซื้อน่ะ อ้อ!! จอดเพื่ออะไรรู้แหละ…จริงๆ ไอ้เอกสารไปกรอกที่ด่านก็ได้แต่มาจอดที่ร้านเพราะจะได้ขายของไปด้วย การตลาดดีเยี่ยม พอกรอกเอกสารเสร็จก็ไปขึ้นรถแล้วเดินทางไปด่านครั่งชั่วโมงก็ถึง ก็ลงจากรถเข้าแถวลงมาเขียนเอกสารอีกใบอยู่ดี…..ดีที่ไม่เสียค่าไมโลร้านเอ็ง(ฮา) ก็เข้าแถวตรวจ Passport ข้ามฝั่งไปก็เปลี่ยนรถเป็นคันเล็กหน่อย เพราะคันที่นั่งมาไม่ได้ข้ามฝั่ง ไอ้คนที่เอ้อระเหย(ส่วนมากฝรั่ง)ขึ้นรถช้าก็เลยต้องยืนไปตามระเบียบอนาจแท้ มาถึงตอนนี้ตอนที่บอกว่ามีไปกัน 9 คน คนที่มาทีหลัง ยังนึกอยู่คงเดี่ยวๆ ไม่มีคู่แหงต้องหาทางคุยเป็นกลุ่มจะได้ไม่นอยกัน ปรากฎว่า…คนที่โดดเดี่ยวเนี่ยคือกรู….กรูนี่แหละที่นั่งเขียนบันทึกเรื่องของลาวเนี่ยแหละ ตึงโป๊ะกันเลยทีเดียวเชียว

ระหว่างนั่งอยู่ที่รถรอคนครบอยู่ที่ด่านตรวจลาว เหลือบไปมองที่ต่างๆ ไม่มีอะไรต่างไปจากเดิมมากมาย ด้านซ้ายมือเราเป็น DUTY FREE ซึ่งตอนนั้นได้ขี่มอ’ไซค์มาเพื่อซื้อเบียร์ซื้อเหล้า ด้านขวาเป็นที่จอดรถจัก(ที่จอดมอ’ไซค์) ที่เอารถมาจอด…โอ๊ย เพิ่งถึงด่านตรวจก็กำเริบแล้ว อากาศเหมือนบ้านเราไม่มีแดดก็หนาวอยู่หรอก แต่พอมีแดดก็ร้อนปกติ ตอนนี้ก็รอรถออกเพื่อไปลงที่ท่ารถเวียงจันทร์หลังตลาดเช้า เพื่อไปซื้อ”ตั๋ว”ไปหลวงพระบาง แต่ก่อนที่ไปซื้อก็ได้รู้ว่าท่ารถที่นี่เป็นท่ารถของสายใต้ เราต้องไปซื้อที่ท่ารถสายเหนือซึ่งตรงนั้นจะพูดในบทต่อๆ ไป รถออกจากด่าน….ขับเร็วมากๆ บีบแตรตลอด เพื่อนๆ ถามว่าขับเร็วแบบนี้หมดเลยหรอ ไอ้เราก็บอกไปว่าไม่อ่ะมึง มีคนนี้แหละเร็วเกิ๊นนนนนน ระหว่างทางก็หนีไม่พ้น นึกนู่นนึกนี่ ปิ๊วตัวเองไปตลอดเวลา(เอาเข้าไป) ก่อนที่ถึงท่ารถ รถได้ขับผ่านมาแถววงเวียนน้ำพุเลยบอกให้เพื่อนลงนี่กันเพราะใกล้โรงแรมแล้ววางของก่อนแล้วเช่ามอ’ไซค์ไปซื้อตั๋วก็ได้ เมื่อเห็นตามนั้นก็ลงที่วงเวียนน้ำพุ……วงเวียนน้ำพุตอนนี้ปิดปรับปรุงเลยไม่เห็นอะไรเลย อ้อ!! ลืมบอกไปอีกอย่าง ที่ลงเพราะอยู่ใกล้โรงแรม ถ้าได้อ่านภาคหนึ่งจะรู้ว่าโรงแรมที่เคยไปพักครั้งนั้นก็อยู่ใกล้วงเวียนน้ำพุ..ใช่แล้นน โรงแรมที่วันนี้จะนอนกันคือ โรงแรม new laos paris นี่แหละ เป็นโรงแรมที่มาพักกับก้อยตอนมาครั้งแรก!!!!!!

แหม๋ จะเอาให้ตายกันเลยใช่ไหมเนี่ย………