วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ได้แค่คิดถึง


1. วันนี้วันที่ 15 เดือนธันวา....อีกไม่กี่อาทิตย์ก็สิ้นปีแล้ว เวลาเม่งผ่านไปโคตรเร็วเลย แปปๆ เดียวเอง 

2. คิดถึง"หงุดหงิด" อยากเจออยากกอดอยากอยู่กับมันอีก นั่งดูรูป...รูปแล้วรูปเล่า จนรูปสุดท้ายที่ถ่ายเก็บเอาไว้ ป่านนี้มันทำอะไรอยู่ กินข้าว? นอน? เล่นกระดูก? กัดตุ๊กตา? แล้วมันคิดถึงเราไหม

3. คิดเล่นๆ นี่ขนาดหงุดหงิดมันเป็นแค่หมา ถ้าเป็นลูกคน ลูกของเราจริงๆ ล่ะ จะขนาดไหน

4. ตลกตัวเองดีที่เด๋วนี้เห็นหมาข้างถนนหรือแถวไหนก็แล้วแต่ ต้องหยุดมอง หรือไม่ก็มองดูมันเรื่อยๆ หมาแถวบ้านออกลูก ก็ไปซื้อนม ซื้ออาหารหมามาให้มันซะงั้น ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้น เต็มที่ก็เข้าไปเล่นไปลูบหัว ไม่รู้เพราะเรารักหมา หรือเพราะเราคิดถึงหงุดหงิด 

5. ทุกครั้ง ทุกครั้งจริงๆ ที่พิมพ์คำว่า "คิดถึงหงุดหงิด" ใจมันสั่นส่งความรู้สึกข้างในเหมือนมันจะคอยช่วยกันเทน้ำตามาให้ปริ่มๆ เบ้าตา

6. ทุกวันนี้บางคืนที่มีโอกาสฝันถึงหงุดหงิด จะดีใจแล้วเวลาที่สะดุ้งตื่นจากฝัน  เราจะคอยหลับต่อในท่านั้นๆ เผื่อขอให้มีโอกาสฝันถึงอีก ซึ่งไม่เคยทำได้เลย จนเริ่มสับสนว่าการที่ฝันถึงหงุดหงิดมันดีไหม เพราะดีใจที่ได้เจอได้เห็นหน้า แต่ก็เสียใจเมื่อมันเป็นแค่ความฝัน 

7. อย่างน้อยๆ ก็มีเรื่องเดียวที่เชื่อมั่น แต่มั่นใจได้ว่า หงุดหงิดไม่เหงา หงุดหงิดอยู่สบาย  แล้วหงุดหงิดมันมีความสุขแน่นอน สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เรารู้สึกโล่งใจทุกครั้งหลังจากที่คิดถึงมัน

8. ก่อนนอนหลังจากปิดไฟหมดแล้วทุกคืนสิ่งที่ได้ทำคือตั้งนาฬิกาปลุก เมื่อตั้งเสร็จ สิ่งสุดท้ายจริงๆ ที่ได้เห็นคือรูปหงุดหงิดที่เป็นภาพหน้าจอของโทรศัพท์ ดูมันก่อนที่แสงของโทรศัพท์จะค่อยๆ เบาลงๆ จนมึดสนิทไม่มีอะไรคงเหลืออยู่                            

9. ทุกวันเกิดไม่เคยจะขออธิฐานอะไรเลยจริงๆ จังๆ สักที แต่ขอให้วันเกิดปีที่จะถึงนี้ คำอธิฐานของผมขอให้มันเป็นจริง ขอให้มันสมหวัง คิดถึงจริงๆ 

วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

annivers3rd



เหลือบไปดูเวลาที่มุมจอของคอม....วันนี้ วันที่ 21 พฤศจิกายน เป็นวันเกิดของ"หงุดหงิด" หมาตัวเมียหน้าดำพันธ์ปั๊กที่กลายสถานะจากสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อน และจนภายในไม่กี่เดือนหลังจากที่ได้เลี้ยง "หงุดหงิด" มันก็เป็นลูกสาวแบบไม่ถูกกฎหมายโดยความเต็มใจของ"พวกเรา" ทุกวันๆ เรานอนด้วยกัน กินพร้อมๆ กันจนแทบจะไม่รู้สึกว่า"หงุดหงิด"มันคือหมา และคงคิดว่า"หงุดหงิด"ก็คิดเหมือนกันว่า"พวกเรา"คงไม่ใช่เจ้านายของมัน... :))))) 

จนกระทั่ง"หงุดหงิด"อยู่กับ"พวกเรา"ได้สักประมาณเกือบจะครบสองขวบ คำว่า"พวกเรา" ก็กลายเป็น"เธอกับผม" โดยที่ไม่มีกาวใจอันไหนมาเชื่อมเธอกับผมได้สนิทเหมือนที่เคยสนิทเป็นเนื้อเดียวกันมาก่อนหน้านี้ ผมต้องออกจากบ้านของ"เรา"ไป โดยที่บ้านหลังนั้นก็มีแต่เธอและ"หงุดหงิด"....ซึ่งจะมีทุกๆ วันเสาร์ วันที่ผมได้รับอนุญาติจากเธอให้ไปหา"หงุดหงิด"ได้ โดยที่เธอไม่ได้อยู่บ้าน เลยทำให้ทุกๆ อาทิตย์เป็นวันแห่งชาติ วันที่ได้เจอ"หงุดหงิด" วันที่ทำให้ผมหายเหนื่อยจากงานที่สะสมมาตลอดห้าวัน เรียก"หงุดหงิด"ได้เต็มปากเลยว่า"หงุดหงิด"คือ"ตัวหายเหนื่อย"ของผม...หลังจากนั้นประมาณไม่กี่อาทิตย์ที่ได้ไปหา.....เธอก็ขอให้ผมเลิกมาหา"หงุดหงิด"อีก เพราะการที่ผมไปหา"หงุดหงิด"มันก็ทำให้มีสิ่งค้างคาใจในตัวเธอให้ว้าวุ่นไม่สงบซะที

เคยคิดว่าจะขอ"หงุดหงิด"มาเลี้ยงเองที่บ้าน แต่คิดไปคิดว่า"หงุดหงิด"ตั้งแต่เล็กๆ ไม่กี่เดือนก็อยู่บ้าน"เธอ"มาตลอด ผมไม่อยากที่จะเอามันมาเลี้ยงในที่ๆ มันไม่คุ้น บ้านของ"หงุดหงิด"ก็คิดบ้านของ"เธอ" มันอยู่ในที่ที่เคยชินแล้ว แถมอยู่ที่นั่น ผมมั่นใจว่า "เธอ"จะดูแล"หงุดหงิด"ได้เป็นอย่างดีมากกว่าที่เลี้ยงมันแน่ๆ 

ผ่านมาหลังจากที่ไม่ได้เจอถึงวันนี้ หนึ่งปี(ค่อนข้างพอดิบพอดี) ปีที่แล้วตอน"หงุดหงิด"สองขวบ ผมได้เคยพูดเอาไว้ว่า"สัญญา สัญญาว่าจะทำให้เราได้มาเจอกันอีกเหมือนเดิม" แต่ถึงตอนนี้ ดูเหมือนสัญญามันกลายเป็นแค่ลมปากไปแล้ว เวลาที่ผ่านมา ผมไม่ได้สามารถทำให้มันเป็นจริงขึ้นมาเลย
ปีที่แล้ว ตอน"หงุดหงิด"สองขวบผมได้ทำเสื้อยืดลายของ"หงุดหงิด"ไปขายแล้วเอากำไรทั้งหมดจากการขายครั้งนั้นไปทำบุญซื้ออาหารให้สุนัขเร่ร่อน เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จมากมาย จนเพื่อนคนหนึ่งพูดมา "เนี่ยเด๋วนี้เห็นหมาปั๊ก ก็จะเรียกว่า นี่ไงๆ หงุดหงิดๆ"

ทุกวันนี้พูดแบบไม่คิดเลยว่าไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึง"หงุดหงิด"เลย ทุกวัน ทุกวันจริงๆ เห็นอะไรเกี่ยวกับหมาปั๊ก ต้องหยุดดู หยุดซื้อเก็บไว้ตลอด จนแบบว่าคนอื่นๆ ก็ซื้อมาฝากบ้าง เพื่อนก็ถามว่ามึงดูเว่อร์เกินไปไหมกับหมาแค่ 1 ตัว ซื้อมาเลี้ยงใหม่ซิจะได้จบๆ......ไม่เว่อร์เลย ถ้าคิดว่ามันเหมือนลูกสาวจริงๆ ไม่กล้าเลี้ยงตัวอื่นกลัวใจเราจะลืม ลืม"หงุดหงิด"

จากความคิดถึงเป็นเริ่มเป็นความกลัว กลัวว่า"หงุดหงิด"จะลืมผมไปในที่สุด กลัวมันจะจำผมไม่ได้ แต่ที่กลัวมากที่สุด กลัวใจตัวเอง กลัวว่าสักวันผมจะลืมคิดถึงว่า"หงุดหงิด"เป็นลูกสาว กลัวที่ตัวเราเองต่างหากที่จะลืมซะเอง กลัวจะลงเอยแบบนี้ กลัวที่สุด

ปีนี้เป็นปีที่สามของ"หงุดหงิด"แล้ว อ่านในหนังสือว่ากันว่า หมา 3 ขวบ เท่ากับคนอายุ 28 ปี ตอนนี้"หงุดหงิด"ก็โตเป็นสาวเต็มตัวแล้ว ไม่รู้ป่านนี้"เธอ"ผู้เป็นแม่ของ"หงุดหงิด" จะเริ่มให้ลูกสาวมีคู่ครองแล้วหรือยัง...

มาถึงตอนนี้ผมไม่รู้จะพูดคำว่าอะไรนอกจากคำว่า"คิดถึง"

ครั้งหนึ่งเวลาพา"หงุดหงิด"ไปหาแม่ผม พามันไปเล่นที่อื่นๆ แล้วแม่ผมเห็นผมนอนคลุกกับมัน แม่เคยถามผมว่า "รักมันไหม" ผมตอบไปว่า "รักซิ เหมือนลูกอ่ะ รักมันจะตาย"…แม่ผมบอกว่า "เออ ก็เหมือนแม่น่ะแหละ เอ็งก็เหมือนหงุดหงิด"

มาถึงตอนท้ายของบทความนี้ ดูเหมือนเนื้อหาที่ก่อนหน้านี้ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับ"หงุดหงิด"ให้มากกว่านี้ แต่พอเวลาได้เขียนจริงๆ รู้สึกว่าเป็นการเวิ่นเว้อของผมสักมากกว่าที่จะเป็นเรื่องของ"หงุดหงิด"

"หงุดหงิด ปีหนึ่งแล้วที่เราไม่ได้เจอกัน คิดถึงมากๆ อยากฟัดอยากกอดอยากเล่นด้วยกันเหมือนที่ผ่านๆ มา พ่อหวังว่าสักวัน หงุดหงิดกับพ่อคงได้มีโอกาสเจอกันเล่นด้วยนอนด้วยกันอีก รักแกมากๆ เลยน่ะไอ้หมาหน้าดำ ถึงจะหน้าดำแกก็น่ารักน่ะ"

วันศุกร์ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ทดไว้ในบล๊อก (13)

- ออกจากงานจนได้ ตกงาน..
- เรียกว่าออกมาทำ "ฟรีแลนซ์" จะดูโก้กว่า
- ไปงาน The Last Fat Fest มา
- ดีใจมากที่ได้ไป เด๋วจะเขียนบล๊อกรายละเอียดให้ฟัง
- หงุดหงิดกำลังโต จะสามขวบแล้ว
- ตั้งแต่ถ่ายรูปหงุดหงิดกับเสื้อหงุดหงิดครั้งนั้น
- ก็ไม่ได้เจออีกเลย
- ณ ตอนนี้กำลังนั่งทำบางสิ่งบางอย่างให้กับลูกสาวตัวนี้อยู่
- ตอนนี้เฉื่อยชามาก
- มั่นใจที่เป็นแบบนี้เพราะช่วงนี้ไม่ได้ออกกำลังกายเลย
- ได้อ่านหนังสือมากขึ้น ฟังเพลงมากขึ้น
- เปิดคอมน้อยลง (จริงหรา)
- แล้วก็เป็นตามสันดานเหมือนเดิม
- ไม่ชอบออกไปไหน 
- แล้วก็บ่นเบื่อ (ฮา)
- ติดการ์ตูน space brother มาก
- ตอนแรกงานเพราะตัวเอกเลี้ยงหมาปั๊ก
- ชอบคำหนึ่งในการ์ตูนที่บอกว่า 
- "ถ้าไม่แน่ใจว่าจะเลือกอันไหนที่ถูก ให้เลือกอันไหนที่สนุก"
- หลังจากได้อ่านคำนี้จบประโยค น้ำตาไหล ใจเต้นมาก 
- เพราะเพิ่งเจอเหตุการ์ณให้เลือกแบบนี้พอดี :)))
- อ่านพันธ์หมาบ้าจบแล้ว
- ก่อนอ่าน "ไม่ค่อยได้อ่านนิยายด้วยนิ จะจบไหมเนี่ย"
- ระหว่างอ่านไปสองบท "ประวัติแต่ล่ะคนแค่ตอนสองตอน มันเยอะกว่ากูทั้งชีวิตอีก"
- อ่านไปครึ่งเล่ม "งอมแงม"
- จบเล่ม อินมาก ไปดูหนังต่อ ไปฟังเพลงของทัยต่อ :D
- อ่านแล้ว อยากไปนอนบนหาดให้ทะเลซัด มือถือบุหรี่(สอดไส้) เบียร์ขวดใหญ่...FIN
.
.
.
.
- เชื่อไหม มาถึงตอนนี้ยังชอบคำพูดคำนี้อยู่
- "ทุกอย่างเกิดขึ้นเพื่ออะไรสักอย่างเสมอ"
- หลังจากจบบทความนี้..
- บทความต่อไปนี้จะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ ที่จะได้เรียบเรียงออกมาซะที ^^
- ตื่นเต้นว่าจะถ่ายทอดเขียนออกมายังไง 
- คำผิดจะเยอะขนาดไหน (ฮา)

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

อิงลิช ฟอร์ กู!!!!


วันนี้มีเรื่องเล่าตลกร้ายเรื่องหนึ่ง.....

วันนี้ไปคุยงาน ก็สัมภาษณ์งานน่ะแหละ เห็นในใบสมัครทางบริษัทก็เกริ่นมาหน่อยแหละว่า"เข้าใจภาษาอังกฤษ" ไอ้เราก็ไม่ได้หวั่นเกรงอะไรเพราะเคยทำงานกับฝรั่งมาก่อน มันจะบรีพงานในเมล์ เราก็อาศัย กูเกิลแปลบ้าง ศัพท์งานก็คุ้นเคยพอรู้เรื่องบ้าง ผ่านๆ ตา…แต่วันนี้หลังจากเข้าไปในออฟฟิค ทางHR ก็ให้กรอกใบสมัครปกติ บรรยากาศห้องก็มีอยู่สามคน HR ผม แล้วก็...คนมาสมัครงานอีกคน (แต่งตัวออกแนวมาร์เกตติ้งแน่ๆ) ระหว่างกรอกเอกสาร ก็เหลือบไปเห็นห้องกระจกห้องหนึ่งมีฝรั่ง(ขอเรียกว่านายฝรั่ง)เป็นเจ้าของกับอีกคนซึ่งมาสัมภาษณ์งานเหมือนกัน ก็ตกใจนิดๆ ว่าเฮ้ย..กูต้องพูดกะฝรั่งด้วยป่ะเนี่ย เลยรีบสังเกตใบสมัคร มันก็บอกว่าพิมพ์ภาษาไทยปกตินี่หว่า...โอเค คงไม่มีไรหรอก(มั่ง)

……พอเขียนเสร็จส่งให้ HR นั่งสักพักไอ้คนที่มาสมัครงานก่อนหน้าพูดภาษาอังกฤษกับ HR เฉยเลยเป็นเรื่องเป็นราวมากๆ ใจวูบไปอีกหน่อย หวั่นใจเอาไงว่ะกู แต่ก็คิดมาอีกหน่อยแบบว่า คงเป็นพวกมาร์เก๊ตติ้งตปท. น่ะแหละไม่เกี่ยวกับเราหรอก (เริ่มยิ้มแห้งๆ) สุดท้าย พอฝรั่งสัมภาษณ์งานกับอีกคนเสร็จก็เดินออกแล้วแล้วพูดกับ HR ประมาณว่า มีอีกสองคนใช่ไหม(ฟังคร่าวจับใจความได้ประมาณนี้) แล้วก็เดินมาพูดกับกู!!!!!!!

นายฝรั่ง "eorkt98u545t-guer8w5-43w-490i-giaj"
ผม "เออ..ออ ไอ แอม กราฟิก ดีไซสครับ"
นายฝรั่ง"3496860t[;'lfpowpepitop[ofqq[2r"
ผม "เออ งานอยู่ใน cd my portfolio in here อันนี้ครับ"

แล้วก็พูดอะไรมาสักอย่างประมาณว่า คุณสองคน(คนมาสมัครงานก่อนหน้า)รอผมก่อนได้ไหม ตอนนี้ผมหิวมากเลยยังไม่ได้กินอะไรเลย รอเวลาแปปนึงเด๋วมาคุยกันอีกที ผมก็ยิ้มๆ ไม่พูดอะไรกลัวพิกุลร่วงมาก พอนายฝรั่งเดินออกไป ผมนั่งจ๋อยสักพัก เดินหา HR ทันทีว่าผมต้องคุยกับนายฝรั่งด้วยใช่ไหม... HR ตอบมาว่า "yes" ในใจผมนี่ตะโกนมาเงียบๆ ว่า "เยสสสสสส"

ผม "เออ ถ้าเข้าไปคุย ผมจะเอาอะไรไปสัมภาษณ์น่ะครับพี่ ผมโง่มากเลยอังกฤษ"
HR "ไม่เป็นไรๆ เด๋วพี่เข้าไปด้วย ช่วยๆ กันแปลน่ะ"
ผม "เค้าพอฟังไทยรู้เรื่องไหม"
HR "ไม่เลยค่ะน้อง" "กังวลหรอ"
ผม "ครับพี่ มากกกกกด้วยแหละ ถ้าสัมภาษณ์น่ะไม่เท่าไรหรอกฮะ แต่ถ้าทำงานแล้วต้องทำงานร่วมกันด้วยผมเกรงว่า จะเสียเวลาทางพี่แล้วก็บริษัทด้วยแหละครับ"
HR "โอเคไม่เป็นไร งั้นเด๋วพี่คุยกับเจ้านายว่าจะไงดีน่ะ"
ผมขอบคุณแล้วไปนั่งที่......


สักพักไอ้คนที่มาสัมภาษณ์อีกคนก็พูดภาษาอังกฤษใส่ผม...ผมทำเป็นไม่ได้ยิน แต่มันลงท้ายได้ยินว่า "…..sir" เม่งงงงสุภาพกับกูอีก คุยด้วยก็ได้ T_T
….ก็คุยๆ กันเค้าเป็นคน ฟิลิปปินส์ (มิน่าภาษาอังกฤษไฟแลบเลยน่ะ) ไอ้เราก็พูดฮาๆ บอกว่า "ไอ สติวปิด อิงลิส เวรี่มัส" เค้าก็พูดประมาณว่าไม่เป็นไร ขำๆ กันไป คุยว่าอยู่ที่ไหน "อืมมม แอม นนท์บุรีฮาเบอ" (อายตัวเองชิบหาย) --" เค้าอยู่บางกะปิ นั่งแท๊กซี่มาบางบัวทอง.."โหย ยู so far มากอ่ะ" แล้วก็ไปนั่งทีี่เดิม....
ในใจคิดว่า กูอายมากอ่ะภาษาอังกฤษเม่งเป็นไงล่ะ ไม่ยอมเรียน ความรู้สึกที่คนเคยบอกให้เรียนนี่ผุดมาหาในหัวเลย

HR เดินเข้ามาก็พูดแบบที่ผมคิดไว้ว่ายังไงๆ งานก็ต้องคุยกับนายฝรั่งอยู่แล้ว แล้วเราอ่อนภาษาอังกฤษก็น่าจะทำให้ทางบริษัทเค้าเสียเวลาเลยไม่ได้คุยรายละเอียดอะไรกันเลยร่ำรา HR หนุ่มฟิลิปปินส์ นายฝรั่ง แต่มีคำพูดคำหนึ่งที่ทำให้ผมเดินยิ้มขึ้นรถขับกลับบ้านจากนายฝรั่งที่ฝากพูดให้ HR พูดแทน...

"เนี่ย ทางเจ้านายพี่เค้าเสียดายที่ไม่ได้คุยกับน้อง เพราะเค้าชอบงานที่ส่งมาให้มากน่ะ (ผมคิดในใจคงเป็นงานพวกหนังสือ แอด หรือโบชัวจากที่เคยๆ ทำที่ผ่านๆ มาน่ะแหละ แต่..) ไม่ใช่งานหลักที่น้องทำน่ะ แต่งานเล่นๆ ที่ทำเอามาให้พี่ดูน่ะ นายพี่ชอบน่ะ สวยดี ดูสนุกดีด้วย ยังไงก็ขอบคุณน่ะที่อุตสาห์เข้ามา"

ผมได้แต่ยิ้ม ไม่ได้รู้สึกผิดหวังอะไรเลย ไม่คิดเลยว่ามีคนที่ชอบงานเล่นๆ (ที่เราตั้งใจทำ) โคตร แฮบๆๆ ปี้ๆ เลยว่ะ

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

หอมกว่าดอกไม้


เคยไหม ที่ขับรถแล้วไปจอดอยู่ตามสี่แยก แล้วเห็นเด็กขายพวงมาลัย เช็คกระจกไปจนถึงขายมะม่วงกับถั่วต้ม...วันนี้มันก็อีกวันหนึ่งที่ขับรถหลังจากเลิกงาน ย้อนกลับไปก่อนที่จะมีรถ ตลอดที่นั่งบนรถเมล์ จะสังเกตเห็นเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ขายพวงมาลัยตามสี่แยกตลอด โดยเฉพาะดอกจำปีหรือจำปาที่ม้วนๆ มาเนี่ยแหละ จะชอบมากๆ เพราะชอบดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมๆ แบบนี้อยู่ พอวันนี้ขับรถแล้วเจอเด็กที่มาขายดอกจำปี ก็ไม่ลังเลเลยที่จะเรียกซื้อ 
เปิดกระจกเรียกเด็กมา

"น้องดอกไม้แบบนี้ขายไง"
"สามอันยี่สิบครับ"
"อ่า โอเค เอายี่สิบบาท...ไม่ต้องใส่ถุงๆ"
"ขอบคุณครับพี่..ขอให้หอมนานๆ ตลอดขับรถน่ะครับ"
.
.
.
.
.
.
.
.
จำไม่ได้ว่าพอจ่ายตังค์รับของ ดอกไม้มันได้ทำหน้าที่หอมขนาดไหน แต่คำพูดน้องคนขายมันทำให้ยิ้มตลอดเวลาที่ขับรถเลย :)))

วันศุกร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2555

sat 03.02 am 13/10/12


sat 03.02 am 
13/10/12

วันศุกร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2555

miss u at 3.38.58 AM



Screen shot 2012-09-15 at 3.38.58 AM


"1 ปี หลังจากเกิดเรื่อง"

"6 เดือนหลังจากที่ไม่ได้เจอกับหงุดหงิดอีกเลย(แล้วสถิติที่ไม่ได้เจอก็กำลังเดินหน้าต่อไปไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเลย)"

พูดตรงๆ ไม่มีวันไหนที่ไม่คิดถึงลูกสาว(หงุดหงิด)เลย เห็นหมาปั๊กที่ไหนก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึง จนเพื่อนๆ เริ่มส่งรูปปั๊กให้บ้างเวลาไปเจอข้างนอกที่อื่นๆ 

วันนี้ก็เหมือนทุกวัน ความคิดถึงมันไม่ได้ลดน้อยลงเลย จากความคิดถึงเริ่มมีความกลัว กลัวว่าหงุดหงิดมันจะลืม กลัวว่ามันจะจำเราไม่ได้ แต่สิ่งที่กลัวที่สุดคือ กลัวที่ตัวเราเองต่างหากที่จะลืมซะเอง กลัวจะลงเอยแบบนี้ กลัวที่สุด

เพื่อนเคยบอกน่ะ ว่ามึงดูเว่อร์เกินไปไหม กับหมาแค่ 1 ตัว ซื้อมาเลี้ยงใหม่ซิจะได้จบๆ....ไม่เว่อร์เลย ถ้าคิดว่ามันเหมือนลูกจริงๆ 

ตอนนี้เวลานี้....ตีสามจะครึ่งแล้ว ได้แต่มาพร่ำพรรณาในบล๊อก ได้แต่ระบายในสิ่งที่อยากบอก ได้แค่นี้ หวังว่าจะมีคนเข้าใจ หวังจะมีคนเห็นสิ่งเราสื่อ

ได้แต่นั่งทำรูปหงุดหงิดรูปแล้วรูปเล่า....


รูปนี้..... ก็เป็นอีกรูปที่ทำก่อนที่จะนั่งเขียนบทความนี้


ขั้นตอน 1-2-3-4

ทุกคนหล่อเลี้ยงชีวิตด้วยความหวังกันทุกคน ถ้าเอาให้เว่อร์ๆ ตามฉบับของผมการได้เจอได้เล่นได้กอดได้อยู่กับหงุดหงิดมันก็คือหนึ่งในความหวังของตัวผมเองซึ่งไม่อยากให้มันเป็นแค่"ความฝัน"เลย

วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ขับรถวันแรก


วันนี้...วันที่ 21 เดือน 5 ปี 55 ขับรถมาทำงานวันแรกในชีวิต คนเดียวโคตรเท่อ่ะ......ก่อนออกมาก็แน่นอน แม่บ่น พ่อสอน ว่าขับระวังไม่ต้องเร็ว ดูรอบๆ ให้ดี โทรศัพท์ไว้ก่อน บลาบลาบลา ฉอดฉอดฉอด ฯลฯ…..ออกมา เปิดแอร์สุด เสียบไอพอต พอแล้วความสุขของเรา

ออกมาถนนใหญ่ รถติดเว่อร์ๆๆๆๆ วันนี้เปิดเทอมของโรงเรียนด้วยพอดี จำได้เลยเคยพูดกับเพื่อนและที่บ้านไว้ว่า "ถ้ากูมีรถ กูจะไม่บ่นว่าเบื่อรถติดน่ะ".."เพราะเคยขี่มอไซค์ไง เม่งร้อนมาก นั่งรถเมล์ก็ร้อน แอร์ก็เย็นเฉพาะคนขับบ้างแหละ" "ถ้ากูมีรถ กูจะไม่บ่นจริงๆ เพราะแอร์ก็เย็น แถมเพลงก็มีฟัง จะบ่นเรื่องเดียวคือถ้าปวดขี้แหละ(ฮา)" วันนี้รถติดทำให้ผมไม่บ่นไรมาก เพราะไม่อยากกลืนน้ำลายตัวเอง (ฮา) ฟังเพลงไปเรื่อย ipod สลับวิทยุ รถก็เรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ใครจะเบียดจะแซงอ่ะกูให้ กูไม่แย่ง กูขับไม่แข็ง (ฮา) 

ถึงออฟฟิค...สายเหมือนเดิม(เผื่อ??)

เที่ยงก็ไปกินไรกันไกลกว่าเดิม ลั้นล้าทันที

ตกเย็นกลับบ้าน แม่โทรมาเช็คบอกวันนี้อย่าเพิ่งแรดไม่ต้องไม่เมาไหนเลยน่ะ เลิกงานก็กลับบ้าน (ขอใส่คำให้ได้อารฒณ์ในการอ่าน)

เข้าไปในรถ เปิดแอร์ เปิดเพลง ขับเรื่อยๆ ท้องห้าเริ่มมึดลงมึดลง ไฟตามถนนเริ่มส่องแสงขึ้นเรื่อยเรื่อย.......เพลงใน ipod ก้ยังเป็นเพลงเดิมๆ กับที่เคยฟังบนรถเมล์ บนรถตู้เมื่ออาทิตย์ก่อนๆ เลย แต่วันนี้รู้สึกแปลกๆ รู้สึกมันเหงามากมาก เหงากว่าตอนเสียบหูฟังเดินไปขึ้นรถ เหงากว่าตอนอยู่บนรถตู้ เหงากว่าตอนอยู่บนรถเมล์ แม้กระทั่งเรือข้ามฟากก็ยังเหงาสู้ฟังอยู่ในรถเราคนเดียวไม่ได้ บอกไม่ถูกว่ามันเป็นเพราะอะไร อารมณ์เหมือนอยู่ห้องเล็กๆ เงียบๆ มีเพลงกับเราอยู่แค่นั้น ไม่เหมือนกับนั่งข้างคนอื่นๆ บนรถโดยสาร คำเดียวที่คิดออกตอนนั้นคือ"เหงา" 

ว่าแล้วก็มาคิดตลอดเลยน่ะว่าไอ้พวกความรู้สึกแบบนี้เหมือนไรจะหมดไป ทำให้คิดถึง นักร้องวง friday คนหนึ่ง นามว่า อดุลย์ รัชดาภิสิทธิ์ (ดุลย์) ที่ซึ่งวันเสาร์ที่ผ่านมาเพิ่งมีคอนเสิร์ต 10 ปี friday ไปเอง เค้าบอกประมาณนี้ว่า"รู้สึกดีที่มีคนมาดูเพลงที่เค้าเล่นเพลงที่เค้าแต่ง มีความรู้สึกอะไรคล้ายๆ กัน แต่เชื่อไหมคอนเสิร์ตครั้งนี้ไม่ได้มีการบันทึกอะไรไว้ จะมีก็แต่ความทรงจำ แล้วหลังจากคืนนี้ผ่านไป ตื่นขึ้นเค้าก็จะยังอยู่กับความเงียบในห้อง...เหมือนเดิม" ขอจบด้วยคำพูดนี้เลยน่ะ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ 

วันอาทิตย์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2555

"คนอิ่มบุญ หมาอิ่มท้อง"

วันนี้มีเรื่องราวดีๆ จะเล่าให้ฟัง.....ย้อนกลับไปเมื่อเดือน 11 ปี 2554 วันที่หงุดหงิดสูกสาวสุดสำคัญของชีวิตได้ครบรอบสองขวบแล้วก็ทำลายรูปหงุดหงิดลงบล๊อกปกติ จนกระทั่งเวลาผ่านไปนานๆ เข้าจนมาถึงปี 2555 เดือน 2 ก็คิดว่าอยากทำเสื้อขายแล้วเอาเงินไปบริจาคให้หมาเพื่อตั้งใจทำบุญฉลองวันเกิดหงุดหงิดก็เลยได้ Project มาอันหนึ่งที่ชื่อว่า "คนอิ่มบุญ หมาอิ่มท้อง" ซึ่งลายก็เอาลายที่เคยทำเป็นหน้าหงุดหงิดนี่แหละ มาขายในราคาตัวล่ะ 300 บาท (รวมค่าจัดส่ง) 

ผลที่ได้คือ...ยอดขายทะลุเกินกว่าที่คิดไว้มากๆๆๆๆๆ ดีใจที่ไปบังคับคนใกล้ตัวซื้อจนได้ (ฮา) ก็หลังจากที่ส่งเสื้อให้คนใจบุญแล้วก็มีคนที่ได้รับเสื้อบางคนก็ส่งรูปมาให้กัน ทั้งคนที่เรารู้จักกันสนิทๆ ไปจนถึงบางคนที่ไม่เคยเห็นหน้าค่าตาเราแต่ก็ยังเชื่อใจมั่นใจเราพร้อมกับบริจาคเงินมาให้ต่างหากด้วย (เพื่อนผมคนหนึ่งมันบริจาคเงินมาให้แต่บอกว่า กูให้เงินแต่ไม่เอาเสื้อได้ป่ะ...ลายกูไม่สวยใช่ป่ะ แสรดด)

หลังจากดองเงินกำไรค่าเสื้อมาแรมเดือนก็ได้เวลาไปบริจาคสักที โดยที่เรามีแผนจะไปบริจาคกันที่ บ้านของ"ป้าเอ๋" ที่จังหวัดนนทบุรี แถววัดสวนแก้ว ก็นัดกันไว้กับเพื่อนอีกคนคือวันที่ 28/04 ซึ่งก่อนถึงวันไปบริจาคจริงๆ หนึ่งอาทิตย์ก้ได้ไปสำรวจไปหาที่บ้านป้าเอ๋ เพราะตั้งใจจะไปถามไถ่ว่าขาดเหลืออะไรบ้าง หมากินอาหารแบบไหนจะได้ซื้อมาตรงกันจะได้ไม่ต่างยี่ห้อเด๋วหมาไม่คุ้น แล้วเหตุผลที่เลือกที่นี่ก็เพราะหลักๆ เลยคือง่ายต่อการเดินทาง ห่างจากบ้านผมประมาณ 5 กิโล ก็เลยแว๊นฟีโน่ไป(ไอเลิฟฟีโน่) พอไปถึงก็ด้อมๆ มองๆ บ้านป้าเค้าอยู่หลังวัดสวนแก้วแถวๆ คอนโดหมาของวัดซึ่งไม่เกี่ยวกับวัดน่ะ เข้าไปวอยเล็กๆ ถนนขรุขระ อยุ่ขวามือเป็นบ้านเขียวๆ ชั้นเดียวแต่ยาวออกไปสามสี่ห้อง พอไปถึงก็ถามหาป้าเค้า ก็ได้คุยได้พูดกันอยู่ประมาณเกือบชั่วโมงครึ่งได้...น้ำตาของป้าคลอและพูดขอบคุณเกือบทุกๆ ครั้งที่สิ้นประโยค พลอยทำให้เราน้ำตาไหลไปด้วย น้ำตาบางทีที่ไหลออกมามันไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องเศร้าไปซะทุกครั้งจริงๆ :)))) หลังจากคุยเสร็จก็บอกลาแล้วก็บอกแกไปว่าเด๋ววันเสาร์หน้าจะเอาของมาให้

มาวันนี้เสาร์ที่ 28 ก็ได้นัดกับเพื่อนไว้ประมาณบ่ายสาม กะว่าเมื่อซื้อของเสร็จแดดจะได้ไม่ร้อนมากน่ะ...หลังจากที่คุยกะป้าแล้ว ป้าแกบอกให้ไปซื้ออหารที่เค้าไปซื้อประจำ ที่ปากซอยข้างวัดเฉลิมพระเกียติห่างจากบ้านป้าเอ๋ สามสี่โลได้ ก็พอเจอเพื่อน(เพื่อนซื้อข้าวสารมาให้ด้วย กระสอบใหญ่ 20 กิโลเพราะตั้งใจให้ป้าเอ๋โดยเฉพาะ) ไปถึงร้านอาหารสัตว์ ก็ได้ซื้อของ และสรุปได้ดังนี้
- อาหารหมาแบบกระสอบ 4 กระสอบ กระสอบล่ะ 20 โล (ซึ่งราคาถูกแบบว่า ครึ่งต่อครึ่งกว่าในห้าง) 
- อาหารแมว 1 กระสอบ (20 โล)
- อาหารแมว วิสกัสแบบซอง 4 โหล (ให้แมวพิการ)
- ผ้าก๊อตทำแผล แบบม้วนยาว และแบบแผ่น อย่างล่ะ 1 โหล
- เทบพันแผล อีก 1 โหล
- ข้าวที่เพื่อนร่วมบริจาคด้วย 1 กระสอบใหญ่
- เสื้อลายหน้าหงุดหงิด 1 ตัว (ให้ป้าใส่เก๋ๆ)
- เสื้ออีกหลายตัวให้ป้า (เพราะตอนที่คุยกัน ป้าเค้ามีเสื้อใส่ไม่กี่ตัวเอง)
- เงินใส่ซองอีกจำนวนหนึ่ง



รูปส่วนหนึ่งที่เพื่อนๆ ส่งมาให้ดูหลังจากที่รับเสื้อแล้ว



บรรยากาศที่บ้านป้าเอ๋



ป้าเอ๋ใส่เสื้อโชว์เลยเก๋มากๆ 


หมาของป้าเอ๋ไม่มีเกเรเลยน่ะ


หมา แมว ที่อยู่ในกรง ส่วนมากเป็นพวกพิการ


เรื่องทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีพวกคุณ
- พี่มด (ไก่ชน) ทันทีที่โพสโปสเตอร์ พี่เป็นคนแรกที่ส่งเมล์มาไวคนแรกเลยฮะ
- พี่แอน รุ่นพี่คนงาม ที่ช่วยสนับสนุนนซื้อเสื้อผมมาโดยตลอด ^^
- ฝนเตีย หรือฝนสวยและผองเพื่อนของฝน ที่อุดหนุนโดยไม่ลังเล
- คุณอุ๊กอิ๊ก (คนแปลกหน้าที่เราไม่เคยรู้จักกันแต่ส่งเมล์มาสั่งเสื้อด้วย ขอบคุณมากฮะที่เชื่อใจและสนับสนุน)
- พี่นิด เพื่อนพี่มดไก่ชน (พี่สวยมากและมีรสนิยมในการเลือกซื้อเสื้อมาฮะพี่ คราวหน้าเจอกันผมเลิกกวนประสาทพี่แหละ)
- อัน, พี่เร่ (สองพี่น้องนักทำบุญ ไม่เพียงซื้อเสื้อแถมยังเป็นคนบริจาคข้าวสารและยังขับรถมารับผมและซื้ออาหารไปบริจาคด้วยกันอีก)
- หวาน, ปัด สองสาวคนงามที่สั่งเสื้อเสื้อแหละยังแถมเป็นตัวยุให้เกิด project นี้ขึ้นมาด้วย
- คุณธิดารัตน์ (คนแปลกหน้าใจบุญอีกคนหนึ่งที่เข้ามาช่วยสนับสนุนให้เกิดสิ่งเหล่านี้ได้)
- ไอ้บิ๊กกับแฟนสุดสวย (เพื่อนจากเทพศิรินทร์ ขอบคุณมากแถมยังโอนเงินมาเกินอีกต่างหาก 55)
- เมย์ ผู้ ญ ที่เกิดวันเดียวกันเดือนเดียวกัน แต่เมย์แก่กว่าเท่านั้นเอง 555 ขอบคุณมากน่ะ
- คุณโอ๋ supermodel in love คนแรกที่ผมรู้จัก แถมช่วยสนับสนุนเสื้อด้วย
- พี่ปิ๊ก แม่สาวนักเขียนผู้มากฝีมือ ที่ช่วยสนับสนุนแถมยังช่วยแนะนำในหลายๆ เรื่องด้วย
- คุณไฮ้ คนสุดท้ายที่เกือบจะไม่ได้เสื้อแล้ว แต่สุดท้าย ก็ขอบคุณมากครับที่ช่วยกัน ^^
- ไอ้(เฮีย)ตี๋ เพื่อนจากมัธยม ไม่พูดไรมาก...มันจ่ายเงินช้าสุด
- ไอ้ชิต เพื่อนจากมัธยมด้วยเหมือนกัน ขอบคุณมาก ผู้ชายคนนี้ใจมากๆ ทั้งที่ใจชอบชายแต่มีแฟนเป็น ญ (ไม่รู้บีงหน้าหรือเปล่า 555)
- สาวจิลเรนเจอร์  คนนี้สำคัญมาก เป็นผู้ขับเคลื่อนในการประชาสัมพันธ์ต่างๆ เป็นกระบอกเสียงจนทำให้ยอดขายทะลุเกินเป้าจริงๆ ขอบคุณมากๆ น่ะ ดีใจที่รู้จัก จิลเป็นหัวหน้า(แก๊งค์)หมาอย่างแท้จริง 555
- รัตตี้ สำหรับบริจาคเงิน ^^
- ไอ้รณ (เพื่อนที่เทพฯ อีกคน) คนนี้แหละที่บอกว่ากูให้เงินแต่ไม่เอาเสื้อน่ะ โหยยยเจ็บว่ะ
- รวมถึงบุคคลที่ไม่ได้กล่าวถึงด้วยน่ะ ขอบคุณมากครับ

ขอบคุณมากๆ น่ะครับ 


วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

เมื่อวันเกิดฉันเวียนมาถึงอีกปี....ปี 2555



เหลือบดูนาฬิกา....โอ้วตีหนึ่งกว่าๆ แล้วหรอว่ะเนี่ย พอดีเลยวันนี้วันเกิดเรานี่หว่า :P เฮ้อ 27 แล้วใช่ไหม (แก่ว่ะ) จิงๆ ก็ขอเรียกเป็นวันคล้ายวันเกิดให้ดูเท่ๆ มีนัยยะสำคัญเหมือนคนดังๆ เคยบอกๆ แบบนี้บ้างก็ดีน่ะ อย่างแรกเลยขอบคุณพ่อกับแม่ที่ให้กำเนิดเบิ๊ดออกมาและยังเลี้ยงจนเติบอ้วนขนาดนี้ ^^ ขอบคุณฮะ ก็เด๋วเราไปกินไรอร่อยๆ กันเหมือนเดิมเนอะ ^^

จำได้เลยว่าวันนี้ของปีที่แล้วมันเป็นยังไง เรื่องราวมันยังจำได้แม่นเหมือนมันเพิ่งเกิดกับตัวไม่นานมานี่เอง วันนั้นพอพ้นเที่ยงคืนทุกๆ วันเกิดผมจะโทรไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่งและอวยพรให้เพราะเราเกิดวันเดียว ก็โทรไปบอกตั้งแต่ช่วงมัธยมเลยมั่งถ้าจำไม่เผียดน่ะ วันนั้นเบิ๊ดก็อยู่กับก้อยเป็นปกติ ซึ่งปกติแล้ววันเกิดเราทั้งคู่จะเฉยๆ ไม่มีไรมากก็จะกินข้าวจัดหนักบ้างหรือมีของขวัญบ้างเล็กน้อย (ปีแรกเลยจำได้ว่าเป็นรองเท้า converse สีฟ้าเข้มๆ มาหนึ่งคู่) แต่จำได้พอหลังเที่ยงคืนก้อยก็พูด "เบิ๊ดเดย์" กันปกติแล้วก็นอนเพราะพรุ่งนี้เป็นวันทำงานปกติ แต่หลังจากนั้นพอทำงานเสร็จกลับมาเจอกันซึ่งเราตั้งใจเลิกเร็วมากๆ รีบจัดการงานให้เสร็จและรีบกลับมาเพราะตั้งใจไปกินข้าวกันเหมือนทุกๆ ปี ก็พอเลิกงานก็เลยรีบโทรหาก้อย เลยก้อยก็บอกประมาณว่างานยุ่งๆ ก็ไม่มีไร เลยกลับมาบ้านเตรียมรอก้อยกลับมาจากออฟฟิคแล้วไปกินไรกัน........นานไปสักพัก ก้อยก็กลับมาเรียกให้เบิ๊ดประตู

ก้อยกลับมาบ้านพร้อมถือพายบลูเบอร์รี่ชีสเค้กมาให้จานใหญ่เลย ปักเทียนสวยงามเซอร์ไพร์มากๆ แล้วบอกว่าก้อยเป็นคนทำเองแล้วแม่ก้อยก็ยังมาช่วยก้อยทำด้วย ปกติเป็นคนที่ไม่ชอบกินเค้กหรือขนมไรแบบนี้น่ะ แต่บอกตามตรงวันนั้นดีใจมากแค่ก้อยซื้อมาให้ก็ดีใจสุดๆ แล้ว แต่นี่ก้อยอ้างว่างานยุ่งแต่จิงๆ แล้วกำลังเตรียมพายมาให้เราแบบนี้ น้ำตาจะไหลให้ได้ดีใจมากๆ แถมอร่อยมากๆ ด้วยกินไปเยอะมากๆ แล้วยังจำได้เลยว่ายังถ่ายรูปก่อนกินเก็บไว้อวดเพื่อนๆ ที่ออฟฟิคแล้วก็เก็บไว้ส่วนหนึ่งให้รุ่นพี่ด้วยเพราะเค้าก็เกิดถัดไปต่อจากเราอีกวัน..........

และก้อยจะบอกอีกว่า นี่ไม่ใด้ชื่อพายบลูเบอร์รี่ชีสเค้กน่ะ แต่เป็น พาย"บลูเบิ๊ดดี้ชีสเค้ก"

วันนี้รสชาติของพายเมื่อปีที่แล้วเป็นอะไรที่จำไม่ได้แล้ว แต่รสชาติของความรู้สึกวันนั้นยังจำได้ดีอยู่เท่าที่สมองเล็กๆ ของผมจะสามารถจดจำได้

ปีนี้อายุ 27 แล้ว ก่อนที่มาถึงวันนี้ 29 เมษายน วันเกิดเรา ก็เจอเรื่องร้ายๆ บ้าง ดีๆ บ้าง มาเยอะแยะพอสมควร ปีนี้ไม่มีพายให้กินแม้กระทั่งคนที่ทำให้เรา คนที่บอกเบิ๊ดเดย์ข้างๆ เรา ก็ไม่มีอีกต่อไปแล้ว มันไม่เหมือนเดิมแล้ว...ตอนนี้เราโตขึ้นอีกปีสิ่งที่เราทำได้ก็คือการใช้ชีวิตอย่างมีความสุข แต่คำอวยพรที่อยากได้ปีนี้ก็คงจะขอให้ตัวเองเอาความผิดพลาดจากปีที่แล้วที่เราทำให้คนที่รักที่สุดคนหนึ่งต้องเจ็บและเสียใจมาทำให้เป็นบทเรียนที่มีค่ามากๆ สำหรับตัวเราและขอให้คำจุดแก้ไขจุดตรงนั้นเพื่อสำหรับวันข้างหน้าต่อไป....ซึ่งไม่ใช่เผื่อคนเก่าหรือคนใหม่แต่เป็นเพื่อตัวผมเองทั้งนั้น

วันนี้ตอนนี้ตีสองครึ่งแล้ว ทั้งๆ ที่บทความของอันนี้ก็ไม่ได้เยอะอะไรมากมายแต่การที่กว่าจะพิมพ์ได้ กว่าจะเรียบเรียงได้มันนานกว่าทุกๆ นั้นจริงๆ 

วันเกิดปีนี้ขอให้มีความสุขตลอดปี มีปัญหาอะไรก็ขอให้ยังมีสติแก้ไขปัญหา ขอให้สิ่งที่เรากระทำทุกอย่างทั้งกาย วาจา ใจ ส่งผลกระทบต่อคนอื่นๆ ให้มีความสุขเหมือนกับเราด้วย

วันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2555

ทดไว้ในบล๊อก (12)


- ครั้งสุดท้ายที่ทด คือปีที่แล้ว 12 เมษา
- ครบปีพอดี
- เลิกกับก้อยมา 6 เดือนแหละ
- ชีวิตไม่ได้เปลี่ยนจากเดิมสักเท่าไร
- ต่างก็แค่อยู่คนเดียว เดินคนเดียว กินคนเดียว นอนคนเดียว
.
.
.
.
.
.
.
.
- เลิกเวิ่นมาได้สักพัก 
- เหลือแต่เรื่องหงุดหงิดนี่แหละ
- คิดถึงมันเป็นบ้า
- ช่วงต้นปีทำเสื้อลายหงุดหงิดขาย
- ตกใจมีคนซื้อเยอะมากกว่าที่คิด 
- ช่วงนี้อ่านหนังสือน้อยลง ฟังเพลงเยอะขึ้น
- และที่สำคัญ อยู่บ้านเยอะขึ้น
- ช่วงนี้ทำตัวให้ดูเหมือนยุ่งๆ เข้าไว้....แค่"ดูเหมือน"น่ะ
- สิ้นเดือนนี้ก็วัเกิดตัวเองแหละ
- 27 แล้วหรอว่ะ โคตรแก่เลย
- เหมือนเดิมก็พาที่บ้านไปกินข้าวปกติ
- ได้รถมาแล้ส ในที่สุดก็มี.."จน"ได้
- รู้สึกแปลกๆ ที่บ้านเราก็ไม่ได้รวยอะไร แต่มีรถสามคัน --"
- ลองดูมีกำลังก็ผ่อนไป 
- เรื่องงานเรื่อยๆ เฉื่อยๆ เหมือนเดิม
- ไม่ได้รู้สึกว่าสิ่งที่ทำเม่งเราทำเผื่ออะไร ไม่มีเป้าหมายเหมือนเมื่อก่อนแล้ว
- ตั้งแต่เป็นแบบนี้ อยู่กับตัวเองเยอะมาก คิดอะไรในใจตลอด
- ช่วงนี้ได้เจอเพื่อนใหม่มากขึ้น ทั้งรุ่นเดยวกัน รุ่นน้องไปจนถึงรุ่นพี่
- หายเหงา ก็ดีไปอีกแบบ แถมยังได้คุยเรื่องใหม่ๆ ในเรื่องที่เราไม่คุ้นเคย
- ตอนต้นปีก็ไปลาวมา ไปสามเมืองเวียงจันทร์ หลวงพระบาง วังเวียง
- ไปกับพวกอัน พวกอุ้ย 9 คนแน่ะ คนเยอะดีก็สนุกดีๆ ดูวุ่นๆ ได้อีก
- ไปนอยที่เวียงจันทร์ซะส่วนใหญ่ (นอยทั้งทริปแหละ เอาเข้าจริง)
- กลับมาตั้งใจจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับทริปครั้งนี้.....
- เขียนน่ะ แต่เขียนไปจบ ไม่ไหวจริงๆ ยิ่งเขียน ยิ่งคิดถึง ยิ่งคิด ยิ่งร้องไห้ 
- เลยหยุดเขียนไปดื้อๆ เลย โดยที่ยังเขียนไปถึงหลวงพระบางด้วยซ้ำ อยู่ค้างที่เวียงจันทร์
- พูดแล้วคิดถึงเพลงคุณเจี๊ยบ "ข้ามฟ้ามาร้องไห้"
- พาตัวเองมาตั้งไกล....มาเผื่อจะร้องไห้ปล่อยน้ำตาให้ไปตามทาง
- เริ่มเยอะแหละ 55555555
- บ่นแค่นี้แหละ ยาวไปก็ไม่ได้เรียดว่า"ทด"แล้วแหละ

วันจันทร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2555

เทศกาลหนัง (song)kran festival # 2

หลังจากที่ชื่อบทความนี้ได้เคยมีมาแล้วในครั้งแรกเมื่อปี 2553 (2010)
ดูของเก่าได้จาก http://byrdberger.blogspot.com/2010/04/songkran-festival.html

และในโอกาสที่ปีนี้ เกิดเหตุการ์ณบางสิ่งที่ทำให้ไม่อยากจะออกไปเจอผู้คนและไปเล่นสงกรานต์ได้ และเหตุผลหลักใหญ่ๆ ก็คือซื้อทีวีมาใหม่ ซึ่งใหญ่กว่าของเก่าที่ดูอยู่มากๆ เลยทำให้เกิดความรู้สึกเบอร์ห้า...บ้าเห่อมากๆ จึงอดไม่ได้ที่อยากให้ช่วงหยุดยาวแบบนี้เป็นช่วงที่เพลิดเพลินไปกับ TV สุดเลิพ............ถึงเวลาอันสมควรแล้ว ไปดูกันว่าปีนี้ไปเอาเรื่องไรมาดูบ้าง....

มาปีนี้ 2555 (2012) แอบกิ๋บเก๋เพิ่ม logo เข้าไปด้วย
เลียนแบบ เทศหนังชื่อหนัง "Cannes Film Festival"

The Dark Knight
- เรื่องนี้กับจำนวนครั้งในการดูประมาณครั้งที่ ร้อยแปดสิบเก้า ครั้งได้ :P
แถมยังได้อยู่ในอันดับต้นๆ ของหนังในดวงใจไปที่เรียบร้อย
จึงเป็นเหตุผลที่ส่วนตัวของผมอยากเห็นตัวร้ายที่โคตรเท่อย่าง joker อีกครั้งในภาพที่ใหญ่ๆ

one piece : strong world
- การ์ตูนในดวงใจและสุดฮิตอีกเรื่องของผม ซึ่งช่วงที่เข้าฉายก็ยังได้ไปดูที่ "ลิโด"
ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกๆ ที่ลองเปิดดูเพราะพี่ชายบอกว่าจะได้ดูเปรียบเทียบสีของหน้าจอไปด้วย
(นอกเรื่องนิดนึงคือ ตัวละครที่ชอบของผมคือ"อุซบ")

ปัญญา เรณู
- เรื่องนี้ไม่ได้ดูในโรง เพราะไม่มั่นใจว่าคุ้มกับค่าตั๋วที่สมัยนี้มันโคตรจะแพงหรือไม่
แต่เห็นกระแสตอบรับนี้มากมาย(จนเกิดภาค 2) จึงอาศัยที่หยุดยาวๆ แบบนี้รอหามาดู
ปรากฎว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่ได้ดูตอนดึกๆ มากๆ (เพราะก่อนหน้านี้ได้ดูอีกเรื่อง)
จึงทำให้เกิดหลับไปช่วงๆ แรกๆ เป็นพักๆ ทำให้ทนไม่ไหวจึงปิดเข้าไปนอนซะก่อน
แต่ความรู้สึกจากใจเลยไม่ว่ากระแสดีขนาดไหน...ให้ตายซิ
เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรดึงดูดในตัวผมเอง"ต้อง"ให้ได้เลยน่ะ.....จบน่ะ

50/50
- เรื่องนี้หลังจากดูจบ..คำถามแรกคือ "ทำไมพลาด ไม่ยอมดูในโรง"
ส่วนตัวชอบพระเอก "โจเซฟ กอร์ดอน เลวิตต์" รู้จักไอ้หมอนี่จาก
เรื่อง 500 days of summer หนังในดวงใจอีกเรื่องของผม
หนังเรื่องนี้ทั้งเรื่องนั้น โคตรดราม่ามากๆ แต่ในบางฉากจะทำให้เรายิ้มๆ
สอดแทรกเสมอจนบางทีเรายังรู้สึกว่า ถ้ามันเกิดเรื่องกับเรา..เราจะยิ้มหรือจะสู้ได้อย่างนี้บ้างไหม
"เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ชอบมากที่สุดในช่วงสงกานต์นี้เลย"

The King's Speech
- เรื่องนี้ความรู้สึกส่วนตัวนี่ดูแล้วรู้สึกมันตลกมากกว่าดราม่าด้วยซ้ำ แต่ก็มีบ้างที่เบื่อๆ
แต่ส่วนตัว(อีกนั่นแหละ)ที่รู้สึกว่าหนังเป็นเรื่องของกษัตริย์ แต่มันรู้สึกติดดินมากๆ
เป็นหนังที่ถ้าเราเล่าให้ใครฟังแล้วมันไม่สนุกหรอก ต้องไปดูเอง ^____^

Iron Man
- เรื่องนี้ไม่ได้ตั้งใจดูเป็นเรื่องที่ฉายทางช่อง 7 พอดี เลยเอามารวมในบล๊อกด้วย
ส่วนตัวฮีโร่คนนี้ผมดูแล้วภาคแรกเฉยๆ (ถาคสองก็เฉยๆ) ดูเพลินๆ
บิ๊วรอดู The Avengers มากกว่า

IN TIME
- หลังจากดูเรื่องนี้แล้วคำถามคือ "กูอยู่โซนไหนของหนังเรื่องนี้" คำตอบคือ โซนเดียวกันกับพระเอก
เพราะพระเอกอยู่แบบวันต่อวัน ส่วนผมนั้นเงินเดือน...เดือนชนเดือน (ฮา)

Angels & Demons
- เรื่องนี้ก็สนุกดี ชอบตอนไขรหัสสัญลักษณ์
และเพิ่งค้นพบไม่นานมานี้ เพราะหลังดูเรื่องนี้จบได้อยู่สิ่งที่ DVD แถมมาให้
เรื่องการคิดค้นคำและดีไซส์ TYPO คำในเนื้อเรื่องของหนังขึ้นมา
เป็นการดีไซส์คำต่างๆ ในเรื่องที่คิดว่าคนที่ชอบพวกงาน TYPO แนะนำอยากให้ดู
(จริงๆ คนอื่นอาจจะดูแล้ว แต่ผมเพิ่งจะกดเข้าไปดูเอง)

The Davinci Code
- เหมือนกับเรื่อง Angels & Demons ชอบตอนไขรหัสนั่นแหละ
และที่สำคัญ ชอบนางเอกคนนี้มาก "Audrey Tautou" จากเรื่อง "Amelie"
สคส. สวีทตี้
- เรื่องนี้ดูแบบไม่คิดอะไร ดูกับแม่กะให้แม่ฮาไปเพลินๆ
แต่ผลที่ได้รับคือ "แม่หัวเราะชอบใจ" แต่ผมกลับน้ำตาซึม ไม่ใช่เพราะหนังมันเศร้า
แต่มันมีคำพูดคำหนังจากตัวละครคนหนึ่งที่ผมก็เคยพูดคำนี้กับแฟนก่อนที่ตอนนี้มันได้กลายเป็นอดีตไปแล้ว
จึงทำให้.....นอยไปทั้งคืน

ฝนตกขึ้นฟ้า
- เรื่องนี้ใครจะว่าไงไม่รู้ แต่ความชอบส่วนตัวมากๆ คือชอบมากๆ
เป็นอีกเรื่องของ"เป็นเอก"ที่ดูแล้วเข้าใจง่ายกว่าหนังปกคิทั่วไปของผู้กับกำคนนี้
ดังนั้นทั้งๆ ที่ไปดูในโรงแล้ว..พอ DVD ออกก็ยังอยากที่จะดูอีก
รวมทั้งเพลงประกอบหนัง "ส่วนที่หายไป" ที่ เจตมนต์ มละโยธาทำขึ้นมาใหม่
โดยได้ cover จากต้นฉบับของ อารักษ์ อาภากาศ
ที่รู้สึกได้อารมณ์ของเพลงจากค่าย smallroom ช่วงแรกๆ ก่อนที่จะบูมถึงทุกวันนี้

Pirates of the Caribbean 4 On Stranger Tides
- ไม่คิดอะไรมากกับเรื่องนี้ เพราะภาคแรก สนุกสุด ดีสุดแหละ
แต่ส่วนตัวอยากดูกับตันแจ็คแบบเต็มๆ และซ็อตที่เปิดตัวของนางเงือก....โคตรสวย :P


หลังจากดูจนจบก็มานั่งดูเรื่องที่ๆ เราดู..ว่าแนวหนังปีนี้ที่ดูรู้สึกมันตลาดกว่าครั้งก่อนนั้นมากๆ แถมดูเยอะกว่าครั้งที่แล้วด้วย ไม่ต้อสืบเลยว่าเพราะอะไร เพราะไม่ได้ไปไหนและเพราะอยู่คนเดียวไม่เหมือนกับทุกๆ ปีที่ผ่านมา.......(ดราม่าเอาไปมึงไอ้เบิ๊ด)