วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2551

ว่าด้วยเรื่อง "LITTLE MISS SUNSHINE"

'LITTLE MISS SUNSHINE' หนังที่สนุกและจะทำให้คุณลุกขึ้นอยากไปทำอะไรสักอย่าง....(ลุกไปปิดเครื่องเล่นก็โอเคแล้ว...อันนี้แนะนำพี่รัด 555+ มุกครับพี่อย่าซีเรียส)

เรื่องนี้พี่เอ แนะนำให้ผมดูก่อนที่คิดจะสมัครงานซะอีก แต่ก็เพิ่งมีโอกาสได้ดูเมื่อไม่กี่วันนี้...
Little Miss Sunshine เป็นหนัง ดาร์ค คอมเมดี้ (Dark Comedy) ว่าด้วยชีวิตครอบครัวหนึ่ง ซึ่งผู้คนภายในครอบครัว"ไม่ประสบความสำเร็จ" ในแบบที่สังคมคาดหวัง

เริ่มจาก
ริชาร์ด ผู้พ่่อพยายามจะสร้างทฤษฎี 9 ขั้นสู่ความสำเร็จ และรอคอยว่าทฤษฎีของเขาจะได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือหรือไม่
เชอริล แม่ที่ไม่เคยเลิกสูบบุหรี่ได้ แถมครอบครัวของเธอยังต้องกินอาหารสำเร็จรูปตลอดเวลา
แฟรงค์ อาจารย์มหาวิทยาลัย พี่ชายของเชอริล ผู้ซึ่งเพิ่งผ่านพ้นวิกฤติการฆ่าตัวตายเนื่องจากไปหลงรักลูกศิษย์หนุ่มของตัวเอง
เอ็ดวิน คุณปู่ ผู้ยังคงเสพยาเพื่อเยียวยาความผิดหวังแต่หนหลัง
ดเวนย์ ลูกชายคนโตของครอบครัว ตัดสินใจไม่พูดจา จนกว่าจะได้เรียนในโรงเรียนทหารอากาศ ดเวนย์อยากเป็นนักบิน และ่ด้วยอิทธิพลของนักเขียนที่เขาชอบ-นิทเช่ -ทำให้เขาเกลียดผู้คนรอบตัว เขาตัดสินใจไม่พูด สื่อสารด้วยการเขียน และรังเกียจครอบครัวของตัวเอง
และสาวน้อยคนสุดท้าย ผู้เป็นสาเหตุให้เรื่องดำเนินไป
โอลีฟ สาวน้อยอายุเจ็บขวด ผู้ทำให้ทุกคนภายในครอบครัวต้องออกเดินทางไปคาลิฟอร์เนีย โอลีฟกำลังเตรียมตัวเข้าประกวด Little Miss Sunshine เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นเมื่อทุกคนในครอบครัว เดินทางด้วยรถตู้ไปคาลิฟอร์เนีย เพื่อทำให้ความมฝันของสาวน้อยโอลีฟเป็นจริง

ดูจากโครงเรื่องแล้วครอบครัว "ที่ไม่สมประกอบ" นี้ไม่น่าจะดำเนินชีวิตไปต่อกันได้ พวกเขาล้วนแล้วแต่มีบาดแผล น่ารังเกียจ พยายามที่จะประสบความสำเร็จ พยายามที่จะบอกโลกว่า พวกเขาอยู่ที่นี่ และยังยืนยันที่จะประสบความสำเร็จ แต่ Little Miss Sunshine ไม่ใช่หนังมืดมนขนาดนั้น มันอาจจะมีบทพูดเจ็บๆ คันๆ ให้จี๊ดหัวใจเล่น มีฉากที่อาจทำให้เราหัวเราะทั้งน้ำตาแบบ About a boy( ถ้ายังจำฉากที่เจ้าหนูใน About a boy ขึ้นไปร้องเพลงเพื่อแม่ของเขากันได้) แต่หนังเรื่องนี้ยังมีฉากฉากความรัก-ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวฉากน่าตื่นเต้น และในท่ามกลางความมืดมนเหล่านั้นก็ยังมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ ปรากฏอยู่ให้เห็นในหนังเรื่องนี้
ผลงานการกำกับชิ้นแรกของ JONATHAN DAYTON ร่วมกับ VALERIE FARIS อดีตสองผู้กำกับ มิวสิควีดีโอ ที่หันมาจับงานหนังใหญ่เป็นเรื่องแรก ทั้งคู่พาเราท่องไปบนถนนคนขี้แพ้ ด้วยเรื่องเล่าแบบ ROAD MOVIE ที่ขบขัน และขมขื่น
หนังใช้รถกระป๋องหนึ่งคันทดแทนความหมายโดยรวมของครอบครัวเล็กๆครอบครัวนี้ รถที่ดูภายนอกก็ไม่ได้เลวร้าย แต่เมื่อวิ่งไปวิ่งไป ก็หยุดไม่ได้ ถ้าจอดก็ต้องช่วยกันเข็น แตรดังขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย(และไม่มีหยุด) ไปจนถึงประตูที่เปิดปุ๊บก็ร่วงผลอยไปในทันที
แน่นอนครอบครัวHOOVER ไม่สมประกอบ และพวกเขาไม่ได้ปกปิดมัน ยิ่งหนังเดินทางไปข้างหน้า ความไม่สมประกอบก็ยิ่งฉายชัด และที่น่าสนใจคือมันไม่ใช่หนังที่ว่าด้วยการคลี่คลายปัญหาค้างคาใจในครอบครัว ไม่ใช่หนังที่ทำให้ตัวละครเอาชนะอุปสรรคแล้วก้าวเดินต่อไปข้างหน้า แต่มันเป็นเรื่อง ปัญหาที่แก้ไม่ได้ เพราะที่ตัวละครค้นพบในหนังไม่ใช่ทางชนะแต่เป็นการไม่มีทางชนะ ไม่ว่าจะดำเนินการตาม เก้าขั้นแห่งความสำเร็จหรือไม่
ในครึ่งแรกหนังทำท่าจะดำเนินรอยตาม AMERICAN BEAUTY ที่ว่าด้วยการแฉ ความบ้าคลั่งความสำเร็จแบบอเมริกัน โดยเฉพาะฉากในร้าอาหารที่คุณพ่อ พยายามจะบีบคั้นให้ลูกสาวคนเล็กไม่สั่งไอศครีม แต่นับเป็นโชคที่หนังไม่ดำเนินตามทางนั้น เพราะที่เราได้เห็นคือสมาชิกในครอบครัวที่เหลือพยายามช่วยเหลือหนูน้อยให้รอดตายทางวิญยาณได้อย่างวุดหวิด ก่อนที่จะต้องผลัดกันช่วยกันและกันไปรอดตายทางวิญญาณไปตลอดจนจบเรื่อง ช่วงท้ายของหนัง นั้นสนุกสนานครึกครื้นเป็นอย่างยิ่งเมื่อครอบครัว (ทั้งที่ยังอยู่และไม่อยู่แล้ว) มาถึงกองประกวด และค้นพบว่าการประกวดเด็ก เป็นเวทีสุดสยองที่ยิ่งกว่านรก หนังเสียดสีความสำเร็จในมุมมองของ อเมริกันชนได้อย่างชวนตะลึง ท่ามกลางการประกวดที่เต็มไปด้วยเด็กๆที่แต่งตัวเหมือนตุ๊กตาบาร์บี้ (และผู้ชมพอใจอย่างยิ่ง ) ดุเหมือนจะมีหนูน้อย OLIVE เท่านั้น ที่เป็น ยิ่งกว่าตัวประหลาด (เธอเลือกเต้นประกอบเพลง SUPERFREAK เพลงร๊อค ที่คุณปู่จอมซ่าส์แนะนำ) และแน่นอไม่มีใครสักคนพอใจ หนังเสียดสี ความสำเร็จที่เราต่างดิ้นรนแทบตายเพื่อไขว่คว้าให้ได้มันมา เหมือนครอบครัวที่เดินทางมาตั้งไกล เพื่อจะพบว่าการประกวดเด้ก มันไร้สาระสิ้นดี
แต่ที่สำคัญไม่ใช่การชนะ มันคือการได้ทำต่างหาก หนังจึงเลือกจบ แบบที่ไม่ใช่ว่าหนูน้อยเป็นที่รักแต่อย่างใด พวกขี้แพ้ คือพวกขี้แพ้ แต่พวกเขามีรถกระป่องหนึ่งคัน และนั่นก็เยี่ยมยอดแล้ว


โดยส่วนตัวผมค่อนข้างชอบประโยคสนทนาในหนังเรื่องนี้ีอยู่หลายฉาก แต่ที่ชอบมากคือฉากหนึ่งที่ลุงแฟรงค์พยายามทำความเข้าใจ"การไม่พูด"และการไม่ยอมสื่อสารกับผู้คนของดเวนย์ ดเวนย์บอกว่าเขาอยากนอนหลับแล้วข้ามชีวิตวัยรุ่นไปเลยตื่นอีกครั้งเมื่อเขาได้เป็นนักบินแล้ว ลุงแฟรงค์ถามหลานชายวัย 15 ว่ารู้จัก มาร์เซล พรูซท์ นักเขียนฝรั่งเศสไหม ? พรูทซ์ "เป็นนักพ่ายแพ้" ตัวจริง ไม่เคยมีงานทำจริงจัง ไม่เคยมีความรักในแบบที่เขาหวังจะให้เป็น ใช้เวลา 20 ปีเขียนหนังสือที่ไม่มีคนอ่านเท่าไรนัก แต่พรูทซ์ ก็เป็นนักเขียนที่ดีที่สุดหลังจาก เชคสเปียร์ เป็นต้นมา พรูทซ์มองกลับไป 20 ปีที่เขาทุกข์ยาก แทบจะใช้ชีวิตไปอย่างเปล่าเปลือง แต่ก็เป็น 20 ปีที่ดีสุดของเขาเพราะมันสร้าง "มาร์เซล พรูทซ์" ขึ้นมา แฟรงค์ ถามหลายชายว่า ถ้าเขาหลับไปในช่วงเวลาแห่งวัยรุ่น เขาจะพลาดสิ่งสำคัญในชีวิตไหม? ช่วงชีวิตวัยรุ่นเป็นช่วงเวลาแห่งความสุดยอดของความขื่นขม ถ้าดเวนย์พลาดช่วงเวลาเหล่านี้ไป เขาจะได้อะไรจากชีวิตบ้าง ? เขาจะเติบโตขึ้นมาได้อย่างไร ?ดเวนย์ ยิ้มและดูเหมือนว่าเขาเข้าใจสิ่งที่ลุงของเขาพูด แค่เพียง ยอมรับความพ่ายแพ้ และ ดำเนินชีวิตต่อไป ...


ปล.เนื้อหาบทความบางตอนได้รวบรวมจากเวบอื่นอีกที ขอโทษครับที่ไม่สามารถจำชื่อเวบนั้นได้

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

Trip Art






เออ ผมไปเที่ยวมาครับ เชียงใหม่ คือที่ๆผมไป..คนเดียวครับ เท่มาก 5555+


ก็ไปอยู่ที่นั้นมาได้ 4วัน 3คืน ค่อนข้างดีเลยทีเดียว สิ่งที่ไปก็เยอะมาก ได้ขี่มอ'ไซค์ไปคนเดียวเลยสะดวกหน่อยในการเดินทาง แต่มันก็ติดอยู่ตรงที่ไปไกลได้ไม่มาก เช่นอำเภออื่นๆ....ไปมาเยอะมากเลย จะบอกให้แล้วกัน

- ดอยสุเทพ...อันนี้ไปแน่นอน

- หอศิลปวัฒนธรรม เชียงใหม่...ไปด้รูปฝีพระหัต์พระเทพด้วย โชคดีๆ

- ร้านข้าวซอบเสมอใจ...อร่อยใช้ได้

- ร้านเล่า...ที่ไม่มาววววว (ร้านหนังสือ)

- ร้านสุริยันจันทรา...ร้านแนว DECOR สีสันสุดบาดใจ

- Ginger... ร้านขายเสื้อ สวยดีๆ

- Iberry ร้านไอ้โน๊ตมัน เด็กวัยรุ่นเต็มไปหมด แนวๆ ทั้งนั้น

- ถนนคนเดิน...คนเยอะใช้ได้ นึกว่าอยู่ตลาดมืด 555

จำได้แค่นี้ ...จริงๆ มีร้านเหล้าเยอะแยะ ที่ไม่ได้เล่า จำไม่ได้ ก็ประมานนี้แหละ

......


แต่ที่ติดใจมากๆ คือ Moshop ตึกเหลืองๆ ริมถนนท่าแพ เป็นร้านแกลลอรี่ สวยมากดังที่เห็นในรูปน่ะ ขี้เกียจเขียนแหละ รูปน้อยไปหน่อยเพราะไม่ได้พกกล้องไปด้วยที่ได้ๆ มาก็มาจากกล้องในมือถือนี่แหละ

ปล.หนาวครับ
ปล.2 รูปแรกแอบมึน

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551

ตามระเบียบ

 









.....อย่างที่บอกกันไปแล้ว ว่าเมื่อมีงานโชว์ของ โครงการอักษรศิลป์ "ทรงพระเจริญ" ผมจะไปเอารูปมาดูกัน ทั้งบรรยากาศในงาน กับ

"งานของผมกับตัวผมเอง!!!"

ส่วนภาพที่ถ่ายอาจจะดูไม่ค่อยชัดเท่าไรน่ะเพราะผมถ่ายจากมือถือ ซึ่งงานนี้มีทั้งผลงานของผม พี่ชายผม และพี่เอ ซึ่งถือว่าอยู่กันครบ แต่อยู่คนล่ะบอร์ดเท่านั้นเอง....โดยที่งานของพี่ชายผมนั้น (RUTTY) ได้ออกแบบ Font เองแล้วได้นำมาใช้ในงานนี้ ส่วนพี่เอ ได้ออกแบบโดยที่ใช้ เลข 9 มาออกแบบให้เป็นคำว่า ทรงพระเจริญ.......เจ๋งๆ ทั้งนั้น
ก็ลองดูน่ะครับเพื่อชอบๆ กัน
......สุดท้ายนี้ก็สวัสดีปีใหม่ครับ ช้าไปนิดดดดดด