วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ปีศาจไร้ชื่อ Nameless Monster
วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554
เป็นเรื่อง "ส่วนตัวและส่วนใจ"
วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ยายคือหนึ่งในผู้หญิงสามคนที่รักมากที่สุดในชีวิต
วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ข้ออ้างเท่ๆ กับ iPhone
ทำไมต้องมี iPhone ?????
แล้วทำไมต้องไม่มี iPhone ล่ะ
เอาเข้าจริงๆ ถามว่าอยากได้ไหม...ตอบไปอย่างไม่คิด อยากได้ซิ โทรศัพท์บ้าอะไรทำอะไรได้ตั้งเยอะแยะ เกมก็ชอบ เน๊ตก็เล่นได้ ถ่ายรูปส่งเมล์ จิปาถะเยอะแยะ...ตั้งแต่ที่ได้อยู่(ตัว)คนเดียว ช่วงนี้ก็ออกอาการเซ็งๆ (เริ่มใส่อารมณ์ตัวเอง) เดินไปไหนมาไหนก็มีคนก้มหน้าก้มตา..ระหว่างรอกินข้าว รอรถ รอเพื่อน รอแฟนฯลฯ หรือแม้กระทั่งนั่งอยู่ด้วยกันยังก้มหน้าก้มตากดกันจริงๆ จังๆ มาคิดๆ ดูถ้าเรานั่งอยู่ในวงนั้นด้วย คงแอบน้อยใจแย่ ว่าอุตสาห์มานั่งอยู่ด้วยกัน มรึงยังจะไปคุยกับคนอื่นที่ไหนว่ะ คุยกับกรูซิ !!!!!!!
บางทีบางกลุ่มที่ทั้งโต๊ะนั่งกดนั่งก้มกัน ไม่แน่มันอาจจะคุยกันเองก็ได้ !!?!?!!?
มาถึงตัวเองทำไมไม่อยากมี มานั่งนึกๆๆๆๆๆ ดูแล้วค้นพบว่า
1 ในสมบัติในกระเป๋าของผมก็มี iPod 2GB มรดกตกทอดจากพี่ชายอยู่ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังใช้อยู่ ยังเป็นเพื่อนข้างๆ หูอย่างตลอดเวลา เลยเป็นเหตุผลที่ว่ากลัว..กล้วว่าถ้าเกิดได้ iPhone มาแล้วจะต้องวาง iPod ตัวนี้ไป คงไม่ได้มาเตะตัวนี้อีกแน่ๆ เสียดายของ แล้วถ้าเอาไปขายก็คงไม่ได้ราคาเท่าไร แล้วก็ไม่ได้อยากขายด้วย งันก็ก้มหน้าก้มตาใช้ตัวเดิมต่อไป...
มาเหตุผลอีกสักข้อ ข้อนี้ส่วนตัวล้วนๆ เพราะนิสัยส่วนตัวเป็นคนที่ติดเกมมากๆ ไม่ต้องเป็นเกมหรอกเอาแค่ว่า ถ้าชอบอะไรแล้วยาว อารมณ์ประมาณว่า เล่นได้เรื่อยๆ และไอ้นิสัยนี้เองที่จะเกิดขึ้น ถ้าได้ iPhone มา เพราะกลัวถ้าได้มาจริงๆ กลัวจะนั่งเล่นกับมันจนลืม...ลืมหนังสือที่วางไว้ตามชั้นหนังสือ ลืมหนังที่ซื้อที่เช่ามาดู เพราะมัวแต่เล่มเกม ดูเน๊ตใน iPhone ตั้งหน้าตั้งตาก้มดูจอมากกว่าจะเงยหน้าออกมาดูอย่างอื่น
จากเหตุผลทั้งสองอย่าง..อย่างที่สองนั้นจะเป็นเหตุผลที่รู้สึกว่าจะดูเท่มากๆ แต่ก็เป็นเหตุผลที่สำคัญที่สุด เพราะมั่นใจตัวเองว่าคงเล่นยาว กลัวไม่ได้นั่งอ่านหนังสือ ฟังวิทยุ ดูหนัง เหมือนที่ทุกทุกวันนี้เป็นอยู่ คงรู้สึกแปลกๆ กับตัวเองเหมือนกัน
แต่..สุดท้ายจริงๆ ที่ไม่มี iPhone จริงๆ คงเป็นประเด็นที่ว่า "เงินไม่มีจ้าาาา" (ขอยืมประโยค แบงค์ AE ที่ออฟฟิค) (ฮา) จริงๆ เหตุผลนี้จริงแท้แน่นอนมาก (แต่อ้างนู่นนี่) ความรู้สึกว่าโทรศัพท์ราคาสองหมื่นกว่าบาทนี้รู้สึกว่ามันค่อนข้างแพงสมควร(กับตัวเรา) ปกติราคาโทรศัพท์ที่ตัวเองใช้ไม่เกินหมื่น ถ้าถามอีกว่าถ้าไม่ซื้อเงินสด ทำไมไม่ซื้อผ่อนล่ะ เดี๋ยวนี้ 0% เยอะแยะมาก...ก้มนั่งคิดอีกทีว่า ถ้าเราจะผ่อน"ของ"อะไรสักอย่างการผ่อนโทรศัพท์คงเป็นเรื่องที่รู้สึกไม่ถูกใจตัวเองเท่าไรนัก การผ่อนรถ ผ่อนทีวี ตู้เย็น แอร์....มันรู้สึกว่ามีประโยชน์กว่าการผ่อนโทรศัพท์กว่าน่ะ ผมว่าสิ่งที่ผ่อนผมรู้สึกว่ามันควรเป็นสิ่งที่คนในครอบครัวเราได้ใช้ด้วยน่ะ
ว่าแต่...0% นี่ใช้บัตรอะไรหรอ :P
ปล. นี่คืความรู้สึกตัวเองล้วน คนที่ผ่อนหรือใช้อยู่ก็ไม่ได้จะไปเหน็บแหนบอะไรน่ะ อยากได้เหมือนกันแหละ แต่มานั่งว่านิสัยตัวเราว่าคงเล่นเกินไปแน่ๆ
วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2554
น้ำท่วม..ซึ้งมวาก
ช่วงที่น้ำท่วมเป็นอย่างไรบ้างฮะ ณ เวลานี้ (ต้นเดือนธันวาคม)บางที่ก็น้ำลดแล้ว น้ำแห้ง หรือยังคงท่วมก็ยังมีอยู่ และไม่น้อยทีเดียวที่บางคนต้องสละบ้านหนีน้ำกันถ้วนหน้า ไปว่าจะไปอยู่ตามศูนย์อพยพ หรืออยู่ตามบ้านเพื่อนบ้านญาติก็ตามสะดวกกันไป
ส่วนผมก็เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ตามสะดวกในเวลานั้น แต่..ช่วงที่ลำบากๆ ในการขนย้ายหรือในการหาที่หลับที่นอนนั้น ก็ได้เจอสิ่งดีๆ ในช่วงน้ำท่วมนี่แหละฮะ วันนี้มีโอกาสเลยมาเล่าให้ฟังว่ามีอะไรที่ทำให้รู้สึกดีๆ เกิดขึ้นในยามที่เจอปัญหา(ถึงปัญหาไม่เยอะก็เหอะ)
- ได้ย้ายบ้านเปลี่ยนบรรยากาศ..แน่นอนอยู่บ้านก็สะบายอยู่แล้ว แต่บางครั้งได้เปลี่ยนไปนอนที่อื่นๆ บ้างก็ทำให้ไม่เหงาน่ะ
- ที่ที่แรกคือมาอยู่กับรุ่นพี่ที่ทำงาน มานอนด้วยเพราะอาศับว่าไปทำงานพร้อมพี่เค้า ช่วงนั้นก็เล่นไพ่กินไวน์หรู เพราะอยากใช้ที่เปิด??? แถมได้มีโอกาสได้เล่นกับกระต่ายอีกสามชีวิตที่พี่เค้าเลี้ยงก็แปลกๆ ดีเพราะปกติไม่ค่อยได้เจอสัตว์เลี้ยงที่นอกเหนือจากหมาและแมวเท่าไรแถมเวลาไปทำงานยังติดรถเค้า กระทั่งขากลับด้วย ไม่เสียเงินซักบาทเลย หุหุหุหุ ซึ้งมาก
- ได้ไปอยู่ครอบครัวกับพี่ชาย ได้มีโอกาสเล่นกับหลานเยอะๆ ขึ้น จากโดยที่ปกติ เป็นคนขี้รำคาญเด็ก ประมาณว่าเอ๊งโตคุยรู้เรื่องแล้วค่อยมาเล่นกันน่ะ จนตอนนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว นอกจากจะได้เจอหลาน ช่วยเลี้ยงหลานก็ได้คุยกับพี่ชายและพี่สะใภ้มากขึ้น ทั้งเรื่องงานเรื่องเที่ยว แม้กระทั่งปัญหาต่างๆ ทำให้รู้สึกดีอยู่ไม่น้อยทีเดียว ซึ้งมาก
- หลังจากได้อยู่กับพี่ชายมาพักนึงก็ถึงเวลาไปอยู่ที่อื่นเพราะที่อยู่กับพี่ชายไกลมากๆ จากที่ทำงาน >< เลยส่องหาที่นอนใกล้ที่ทำงาน
- หลังจาก(อีกที) มานึกคิดๆ หาที่ๆ ใกล้ที่ทำงาน (จรืงๆ มีที่มาแถวสามย่านแต่เนื่องจากต้องใช้เน๊ตทำงานเลย โ ค ต ร จะไม่สะดวกเลย) ก็ได้คุยกับเพื่อนคนหนึ่งมาจากขอนแก่นมาพักพิงกับเพื่อนๆ แก๊งค์เค้าอีกหลายชีวิต ไอ้เราก็ฟอร์มคุยไปเลยจนวกมาเรื่องหาที่นอน :P ยังไม่ทันอธิบายเท่าไร "มาซิ มานอนบ้านเราก็ได้ โอเคน่ะ" ก็เอ่ยมาจากของเพื่อนคนนี้ ซึ่งถามว่าสนิทไหม ก็บอกได้เลยว่าไม่สนิทเท่าไร แต่ได้คุยอยู่เรื่อยๆ ปีหนึ่งๆ จะได้เจอถึง 4 ครั้งหรือเปล่าเหอะ(ฮา) ซึ้งมาก
- ช่วงเวลาไปอยู่เพื่อนก็ให้เลย 1 ห้องนอนส่วนตัวไปเลยแลกกับการเฝ้าบ้านให้เค้า(เนื่องจากออฟฟิคผมหยุด แต่ออฟฟิคเพื่อนไม่หยุด) และเมื่อถึงวันลาเราก็จะช่วยค่าน้ำค่าไฟฟ้า เพื่อนก็ไม่รับอีกก็เลยเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทน ^^ ซึ้งมาก
- ทีนี้เมื่อถึงเวลาต้องหาที่นอนอีกก็เลยตัดสินไปบ้านเกิดหลังเก่าที่สามย่าน เพราะไม่จำเป็นต้องใช้คอมแล้วเรื่องเน๊ตเลยตัดไปได้เลย "กูอยู่ได้ไม่มีเน๊ตกูก็อยู่ได้" เมื่อได้มาอยู่ที่นี่หลังจากที่ไม่เคยมาเหยียบเลยเกือบสองปี...ช่วงเวลาที่อมยิ้มที่สุดคงเป็นช่วงเวลาที่เดินไปหาไรกินไม่ว่าจะแวะไปไหนคนขายก็จะทักตลอดว่า "นานหน้าไปเลยน่ะ" "เป็นไงบ้าง" "ทำอะไรอยู่" แต่ที่แน่นอนคือทุกร้านพูดเป็นเสียงเดียวคือ "อ้วนขึ้นน่ะเฮีย" ==" ซึ้งมาก
- แล้วที่เด็ดกว่าคือก่อนคืนที่น้ำจะท่วมได้เช่าหนัง DVD มาดู 2 เรื่อง เรื่องใหม่ 1 วันด้วยซิ และหลังจากคืนนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นเลยตัดสินใจย้ายออกมา DVD ที่เช่ามาก็ได้ติดกระเป๋ามาด้วยไม่มีโอกาสได้คืนแน่ๆ จนเวลาผ่านไปเกือบเดือนเต็มๆ เมื่อน้ำลดก็ได้เดินโดยที่เตรียมแบงค์พันกำแน่นอยู่ในมือ พอเดินไปคืน เค้าก็สแกนปุปแล้วก็บอกว่า "ขอบคุณมากครับ" ไม่เก็บเงินนี่หว่าาาา เลยนึกสงสัยว่าพี่เค้าไม่เก็บไม่ปรับเงินบ้างเลยหรอ เค้าเลยยิ้มๆ ตอบกับมาว่า "ไม่เป็นครับเพราะช่วงน้ำท่วมผมก็หยุดปิดยาวไปเลย เข้าใจครับ ช่วยๆ กัน" แหมแบบนี้ตัวผมไปเช่าร้านอื่นก็บาปแย่เลย ร้านนี้แหละอยู่ด้วยกันยาวๆ ออกจากร้านยิ้มไม่หุบเลย ซึ้งมาก
- แล้วก็ยังมีเรื่องที่ได้ทำเสื้อ"ทหารของพระราชา ทหารของประชาชน" ที่เคยพูดในบทความก่อนหน้านี้ อันนี้ก็ซึ้งมากๆ ^^
- ยังเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เยอะเลยที่ไม่ได้เอ่ยถึง...แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ซึ้งน่ะครับ ซึ้งมากเหมือนๆ กัน ซึ้งมากกกกกกกกกกกกกกกก :D
วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
วิทยาการกับความคิดถึง
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อยากพูดถึงมานานมากๆ แล้วถ้าจำไม่ผิดเกือบๆ ครึ่งปีได้หลังจากที่มีรุ่นพี่คนหนึ่งที่เคารพนับถือมากมายพูดประมาณว่า คนสมัยนี้คิดถึงกันง่ายขึ้นและก็เลิกกันง่ายขึ้นด้วยเพราะความไฮเทค รวดเร็วของเทคโนโลยี....หลังจากที่คุยๆ กันเรื่องนี้ก็รู้สึกอยากเขียนลงในบล๊อกทันทีแต่ด้วยความที่อยากจะหาคำพูดที่มันไม่ดูเยอะแล้วเข้าใจง่ายๆ เลยไม่ได้ลงซะที ถึงตอนนี้ที่กำลังเขียนอยู่นี่ก็ใช่ว่าผมได้หาคำพูดเหมาะๆ มาเขียนได้แล้ว แต่เพราะกล้วว่าจะไม่ได้เขียนซะทีเลยถือโอกาสเวลาแบบนี้แหละที่จะเริ่มซะที
...บทความนี้เริ่มมากจากความสังเกตว่าทุกวันนี้ โลกเราเล็กลงมาก (ไม่รวมถึงคำว่าโลกกลมน่ะ :P ) เล็กขนาดไหน ก็ขนาดที่ว่าการแข่งขันกีฬาจากที่ซีกโลกหนึ่งแต่เราที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งก็สามารถนั่งดูถ่ายทอดสดไปพร้อมๆ กับคนในสนามได้เลยทีเดียว ขนาดสงครามเรายังเห็นวินาทีที่ระเบิดลงในสนามรบในอีกซีกโลกเลยทีเดียว เพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทำให้อะไรๆ มันเร็วมากๆ
ทีนี้แล้วมาเกี่ยวอะไรกับที่ว่าคิดถึงง่ายขึ้น เลิกกันง่ายขึ้น อันนี้จากทัศนคตืส่วนตัวล้วนๆ ของผมเองคิดว่า...เปรียบเทียบอีกว่าอย่างเช่นการโมโห โกรธต่อกัน ถ้าเรามีแฟนอยู่แล้วเกิดไปเจอเรื่องอะไรก็แล้วแต่ด้วยความโมโห เราจะโทรไปหาแฟนทันที ก็จะไปคุยเรื่องนั้นๆ ทันที หรือเรื่องคิดถึงก้ได้ สมัยนี้เทคโนโลยีทำให้เราส่งความคิดถึงได้หลายหลากแบบเช่น ส่งข้อความ รูปภาพหรือแม้แต่คลิบเสียง แล้วทำไมถึงเลิกเร็วล่ะ เอาประเด็นนี้ก่อน ส่วนตัวคิดว่าคนสมัยก่อนนั้นระบบคมนาคมนั้นไม่เหมือนสมัยนี้เพราะกว่าจะได้พูดคุยกันกว่าจะได้เจอกัน (เดินทางไกลมาลำบากหรือส่งจดหมายกันก็กว่าจะได้รับ) เพราะเมื่อเรามีเหตุการ์ณนี่คุ่นเขืองต่อกันกว่าเราจะได้พบ กว่าเราจะได้เจอคงทำให้เรื่องที่เราไม่สบายใจนั้นได้บรรเทาลดลงไปหมดแล้วจนตะกอนมันนิ่งแล้วหายไปในที่สุด อย่างเช่นถ้าความคิดถึงล่ะ คงเป็นความคิดถึงแบบสุดๆ เหมือนที่เมื่อก่อนจะมีบทเพลง หรือโวหารที่พรรณาถึงคนรักที่ปัจจุบันยังเหลือมีมาให้เห็นอยู่ เพราะกว่าที่คนรักกัน คนสองคนจะได้เจอกันความคิดถึงที่มากมายคงกลบเรื่องความไม่สบายใจทั้งหลายแหล่จนหมดไป ความคิดถึงมากๆ แบบนี้จึงได้มีอารมณ์แบบว่าแค่เห็นหลังคาบ้านก็ชื่นใจแล้ว คำนี้จริงแท้แน่นอน แต่สมัยนี้ความคิดถึงไปเร็วกันมากยังที่บอกข้างต้น แต่สุดท้ายไปว่ายุคสมัยใดการเลิกกัน การคิดถึงกัน ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเทคโนโลยีอะไรทั้งนั้นเพราะความรู้สึกที่มาจากข้างใน ความรู้นี้แหละ ที่ไม่มีเทคโนโลยีตัวไหนเข้าใจได้เลย ไม่ว่าคนยุคไหนๆ ความรู้สึกก็ได้ปรับตัวเข้ากับเทคโนโลยีไปหมด บางทีภายภาคหน้าแค่เราคิดถึงใครซักคนในความคิด คนคนนั้นก็คงได้ยินเสียงเองโดยที่เราไม่ต้องเอ่ยปากออกไปก็ได้ ^^
ปล. หลังจากที่เขียนมาถึงประโยคนี้แล้วก็ยังรู้สึกว่าตัวเองพูดวกไปวนมากๆ แต่ยังไงเสีย ความตั้งใจที่จะพูดในเรื่องนี้ในที่สุดก็ได้พูดซะที (ฮา)