วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Ronaldo Luíz Nazário de Lima



นับตั้งแต่สิ้นยุคของ "ไข่มุกดำ" เปเล่ไป ชาวบราซิลก็เฝ้าถวิลหาผู้ที่จะเข้ามาทดแทนด้วยความหวัง แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่ใครสักคนที่จะมาสร้าง "ปรากฏการณ์" ได้เหมือนที่อดีตราชาลูกหนังโลกเคยทำไว้ จนกระทั่งมาถึงวันที่ฟ้าส่ง "โรนัลโด้" มากำเนิดขึ้นบนโลกลูกหนัง


โรนัลโด้ หลุยส์ นาซาริโอ เด ลิมา หรือ "โรนัลโด้" เกิดที่ เบนโต ริเบริโอ ชุมชนแออัดแห่งหนึ่งในเมืองริโอ เด จาไนโร ในบราซิล แตที่ชุมชนแออัดแห่งนี้เองที่กลายเป็นแหล่งบมเพาะพันธุ์เจ้าหนูน้อยคนนี้ให้กลายเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลที่เก่งกาจที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์โลก

เส้นทางชีวิตของโรนัลโด้ เริ่มต้นเหมือนเทพนิยายเมื่อมาพบกับตำนานลูกหนังอย่าง "แจร์ซินโญ่" ในระหว่างที่ยังเป็นเด็กดาวรุ่งอายุ 14 เท่านั้น และอดีตนักเตะในตำนานรุ่นราวคราวเดียวกับเปเล่ ก็จับสัมผัสบางอย่างได้ในตัวของหนุ่มน้อยคนนี้ ทำให้ช่วยดึงไปติดทีมชาติบราซิลชุดเยาวชน รวมทั้งยังพาเข้าไปในทีมเยาวชนของครูไซโร่ เอสปอร์เต้ คลับ หรือเรียกสั้นๆว่าครูไซโร่ สโมสรแรกในชีวิตของเขา

และหลังจากที่ขัดเกลาฝีเท้าอยู่ไม่นานนัก โรนัลโด้ ก็เริ่มแสดงพรสวรรค์ให้สมกับที่แจร์ซินโญ่ การันตีด้วยการลงประเดิมในศึกชิงแชมป์แห่งชาติบราซิล และทำผลงานน่าเหลือเชื่อสำหรับเด็กหนุ่มอายุน้อยด้วยการยิง 12 ประตูจากการเล่นแค่ 14 นัดเท่านั้น

ผลงานดังกล่าวของโรนัลโด้ รวมทั้งในการยิงแฮตทริกในเกมดาร์บี้แมตช์กับแอตเลติโก มิไนโร ก็ไปเข้าตาของแมวมอง ปิเอ้ เด วิสเซอร์ ซึ่งเป็นทั้งโค้ชและแมวมองที่มีชื่อเสียงในฮอลแลนด์ และได้รีบติดต่อเพื่อขอดึงตัวเจ้าหนูมหัศจรรย์รายนี้ไปเล่นกับพีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในฮอลแลนด์ทันทีด้วยค่าตัวราว 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

แต่แม้โรนัลโด้ จำต้องระเห็จออกจากบ้านเกิดอย่างรวดเร็วเกินทำใจสำหรับเด็กน้อยที่เพิ่งจะอายุครบ 17 ปี แต่ก็เหมือนฟ้าลิขิมาให้เขาต้องเลือกเส้นทางเดินสายนี้ และที่พีเอสวี ฝีเท้าของโรนัลโด้ ก็ยิ่งพัฒนามากขึ้นไปอีก และเริ่มเปล่งประกายความเป็นนักเตะอัจฉริยะที่เปี่ยมด้วยพรสวรรค์อันน่าเหลือเชื่อ

ในระหว่างนั้น โรนัลโด้ ยังได้ถูกเรียกตัวติดทีมชาติบราซิล ชุดลุยฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกาด้วย ซึ่งแม้จะไม่ได้ลงสนามแม้แต่นัดเดียวแต่เขาก็ได้เหรียญแชมป์ฟุตบอลโลกมาครองด้วย ก่อนจะเริ่มต้นสอดแทรกตัวเป็นผู้เล่นทีมชาติบราซิลในยุคของคาร์ลอส อัลแบร์โต้ ปาร์ไรร่า

"โอ ฟีโนมีโน" หรือ "ปรากฏการณ์" คือคำจำกัดความของกองหน้าอัจฉริยะผู้มีฟันกระต่ายเป็นเอกลักษณ์รายนี้ ด้วยสไตล์การเล่นที่ไม่สามารถคาดเดาอะไรได้ทั้งสิ้น และไม่มีใครที่สามารถหยุดยั้งพลังการพุ่งตัวด้วยความเร็วราวกับจรวด สัมผัสบอลที่นิ่มนวล การสับขาหลอกที่ทำให้คู่ต่อสู้หลงทิศ และการจบสกอร์ที่เฉียบขาดราวกับติดเรดาร์ไว้ที่ปลายเท้า

โรนัลโด้ กลายเป็นที่ต้องการของสโมสรยักษ์ใหญ่ทุกทีมในยุโรปหลังทำผลงานเหลือเชื่อด้วยสถิติ 42 ประตูจาก 44 นัด และสุดท้ายก็เป็นบาร์เซโลน่า ยักษ์ใหญ่แห่งสเปนที่ได้ตัวไปร่วมทีม

ในสีเสื้อเลือดหมูและมีขุนพลชั้นยอดรอบกายเต็มไปหมดก็ยิ่งทำให้โรนัลโด้ ทวีความเก่งกาจขึ้นชนิดที่ไม่มีใครเทียบได้ จนมีการเปรียบเปรยว่าโรนัลโด้ นั้นเก่งกาจราวกับ "เอเลี่ยน" จากนอกโลกเลยทีเดียว แต่อัจฉริยะลูกหนังคนนี้ก็อยู่กับทีมบาร์ซ่า ได้แค่ฤดูกาลเดียวก็ขอย้ายไปอยู่กับอินเตอร์ มิลาน ในอิตาลีแทน ทิ้งไว้เพียงผลงานน่าเหลือเชื่อด้วยจำนวนประตู 34 ลูกใน 37 นัด

ที่ซาน ซิโร่ โรนัลโด้ กลายเป็นนักฟุตบอลหมายเลขหนึ่งของโลกอย่างเต็มตัวกวาดรางวัลได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลก (1996 - อายุน้อยที่สุดที่ได้รับ ,1997) รางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมยุโรป (บัลลงดอร์ - 1997) ) หรือจะเป็นผู้เล่นทรงคุณค่าของยูฟ่า (1998) แต่เมื่อถึงฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส โรนัลโด้ ในฐานะกองหน้าความหวังสูงสุดของทีมก็ต้องผิดหวังเมื่อได้เพียงแค่รองแชมป์โดยแพ้ต่อเจ้าภาพไปขาดลอย 3-0 ในนัดชิงชนะเลิศ และตัวเขาเองก็มีอาการผิดปกติก่อนเกมจนมีเสียงลือออกมามากมายในเรื่องนี้

หลังจากนั้นฝันร้ายของเขาเมื่อเริ่มประสบกับปัญหาอาการบาดเจ็บมากมายจนแทบทำให้ท้อแท้อยากเลิกเล่นฟุตบอลไปเลย โดยเฉพาะในปี 2000 ที่โรนัลโด้ พักการเล่นไปยาวนานร่วมปีแต่กลับมาลงเล่นได้แค่ 7 นาทีก็ต้องบาดเจ็บอย่างรุนแรงซ้ำอีกครั้ง วันนั้นโรนัลโด้ ร่ำไห้อย่างไม่อายใครต่อโชคชะตาอันโหดร้าย

แต่เขากลับสามารถกลับมาลงเล่นได้อีกครั้งหลังใช้เวลาในการรักษานานนับปี และด้วยการดูแลประคบประหงมอย่างดีในที่สุดโรนัลโด้ ก็เริ่มต้นกลับมาทำผลงานได้น่าประทับใจ ซึ่งแม้จะเปลี่ยนสไตล์การเล่นจากที่เคยใช้พลังความเร็วเหนือธรรมชาติของตัวเองเป็นหลัก ก็มาใช้ชั้นเชิงและสัญชาติญาณในการล่าประตูแทน

โรนัลโด้ กลับมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกลูกหนังอีกครั้งในปี 2002 เมื่อสามารถนำบราซิล คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้สำเร็จโดยตัวเองแม้จะเพิ่งหายเจ็บกลับมาก็ยังสามารถคว้ารางวัลดาวซัลโวได้ด้วยการยิงจำนวน 8 ประตูด้วยกัน จบปีนั้นยังได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของโลกอีกด้วย

แต่สำหรับชีวิตในสโมสร โรนัลโด้ ขอเลือกที่จะย้ายไปเล่นในสเปนอีกครั้งกับทีม "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 39 ล้านยูโรท่ามกลางข่าวลือความสับสนมากมาย โดยเฉพาะเรื่องความขัดแย้งกับเอคตอร์ คูเปร์ โค้ชอินเตอร์ มิลาน ในขณะนั้น

ที่ซานติอาโก เบอร์นาเบว โรนัลโด้ ได้รับการต้อนรับเยี่ยงราชาในฐานะหนึ่งใน "กาลาคติกอส" ของฟลอเรนติโน่ เปเรซ อดีตประธานสโมสรเรอัล มาดริด และผนึกกำลังร่วมกับสุดยอดนักเตะของโลกอย่างซีเนอดีน ซีดาน ,หลุยส์ ฟิโก้ ,ราอูล กอนซาเลซ และโรแบร์โต้ คาร์ลอส ช่วยกันพาทีมคว้าแชมป์ได้ในปี 2003 ซึ่งเป็นการคว้าแชมป์ลีกเป็นครั้งแรกในชีวิตของเขาด้วย

แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขก็ค่อยๆหมดไปอย่างรวดเร็ว เพราะเรอัล มาดริด มีปัญหาภายในทั้งในระดับบริหารและในระดับการจัดการทีม การเปลี่ยนแปลงโค้ชมากมายหลายหน้าบวกกับปัญหาสุขภาพร่างกายที่นอกจากจะเจ็บกระเสาะกระแสะแล้วยังมีเรื่องของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจนกลายเป็นนักเตะร่างอวบไป

ปัญหาน้ำหนักตัวยังทำให้โรนัลโด้ ถูกวิพากษ์วิจารณ์โจมตีจากประธานาธิบดีบราซิล ในระหว่างฟุตบอลโลก 2006 ซึ่งมีแต่ความสงสัยว่าโรนัลโด้ยังจะวิ่งไหวอีกหรือในยามนี้ แต่กระนั้นเขาก็ยังยิงได้ 3 ประตู ทำสถิติรวมในฟุตบอลโลกเป็น 15 ประตู ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดตลอดกาลไปในทันที และเป็นการจารึกชื่อตัวเองไว้ในฐานะยอดนักเตะของโลกเทียบเคียงเปเล่ ราชาลูกหนังชาวบราซิลคนก่อน แม้ว่าโรนัลโด้ จะพลาดหวังแชมป์ฟุตบอลโลกสมัยที่ 3 ของตัวเองก็ตาม

แต่หลังกลับมาจากฟุตบอลโลก โรนัลโด้ ก็ประสบปัญหาอาการบาดเจ็บและเริ่มถูกมองข้ามจากฟาบิโอ คาเปลโล่ โค้ชชาวอิตาเลี่ยน ที่เชื่อใจรุด ฟาน นิสเตลรอย กองหน้าชาวฮอลแลนด์ที่เพิ่งย้ายมาจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มากกว่าทำให้โรนัลโด้ จำใจต้องย้ายกลับมาเล่นในอิตาลีอีกครั้ง โดยมีเอซี มิลาน รับมาร่วมทีม

เวลานี้โรนัลโด้ แม้จะเริ่มเข้าสู่ช่วงบั้นปลายชีวิตลูกหนังแล้ว แต่ก็เริ่มทำผลงานได้ดีกับทีมรอสโซเนรี่ ด้วยความหวังลึกๆว่าจะกลับมายืนบนจุดสูงสุดของโลกและทำให้แฟนๆต้องจดจำชื่อของเขาในฐานะหนึ่งในสุดยอดกองหน้าในตำนานตลอดกาล





ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล


ไม่มีความคิดเห็น: