วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

เราพบกันเพราะ(ตัว)หนังสือ

เนื่องวาระดิถีของจำนวนผู้ชมของบล๊อกครบ (และกำลังเกินไปเรื่อยๆ...) 5000 ครั้ง ว้าวววว


ขอขอบคุณทุกคนที่เคยแวะผ่าน แวะดู แวะชม แวะ ฯลฯ มากๆ ครับ


เราพบกันเพราะ(ตัว)หนังสือ (ขอหยิบชื่อหนังสือ"เราพบกันเพราะหนังสือ" ของ คุณบินหลา สันกาลาคีรี)

ผมได้เพื่อนก็จากบล๊อก มีคนติดตามบล๊อก มันทำให้รู้สึกดีๆ จิงๆ น่ะ มันบอกม่ถูกน่ะความรู้สึกแบบนี้ เพิ่งเข้าใจเวลานักร้องสัมภาษณืว่ารู้ดีแบบนั้นแบบนี้ที่มีคนร้องเพลงของเรา....


มาถึงจุดนี้ไม่เคยคิดเลยน่ะว่าจะทำให้ใครอ่าน นอกจากความต้องการของตัวเองล้วนๆ ก่อนหน้าที่จะทำนี้พูดตรงๆ ทำโดยที่ไม่หวังอะไร แต่อยากได้ความคิดน่ะตอนนั้นของตัวเองกับเรื่องที่เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น มาถึงตอนนี้ สิ่งเดียวที่ไม่เปลี่ยนจิงๆ ก็คือ การพิมพ์ผิด 555+ อย่าคิดว่าผมไม่ตรวจทานน่ะ ตรวจทานแต่ไม่ละเอียด ๕๕๕ เลยคิดว่าเป็นลายเซ็นต์ ไปเลยล่ะกัน


มีรุ่นพี่สองคนที่เป็นไอดอลในการเขียนบล๊อก (ไม่ขอเอ่ยชื่อแต่มีกล่าวในบทความเก่าแล้ว)....


เคยมีครั้งนึงที่รู้สึกเซ็งมาก....จำได้เลยว่าเป็นครั้งที่ผมเกิดอคติกับคนนั้นๆ ไปตลอด เรื่องเกิดขึ้นว่า ผมคุยกันปกตินี่แหละ แล้วผมก็พูดถึงบอกว่าเขียนแล้วเพลิน สนุกดี พอไม่ทันพูดจบอะไร เค้ามาพูดตัดจบว่า "เพ้อเจ้อว่ะ" เท่านั้นแหละ ผมไปไม่เป็นเลย หน้าชามากๆ แต่เหตุการ์ณครั้งนั้นก็ผ่านมาได้โดยดี โดยที่ผมไม่ได้ไปทำตัวติดยาเป็นปัญหาสังคมอะไร 5555


เพราะส่วนตัวผมเชื่อน่ะ เชื่อว่าสิ่งที่ทำอยู่มันมีความสุข แล้วอะไรที่คนเราทำแล้วมีความสุข เมื่อรู้แบบนี้ทำไมเราจะไปหยุดมันล่ะ (ขอให้มันไม่กระทบใครเหอะ) ถ้าบล๊อกผม มีแค่ 2 คน อ่านหรือแม้กระทั่งมีตัวผมคนเดียวที่อ่าน ผมก็มีความสุข มันเป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นว่าสิ่งนี้แหละ คืออีกวิถีหนึ่งที่สามารถบำบัดเราได้จากเหตุการ์ณข้างนอก จากเหตุหลายๆ อย่างที่ทำให้เราใจฝ่อ มันช่วยได้จริงๆ น่ะ นี่แหละ วิทีของผม คนอื่นก็อาจมีแต่ต่างกันไป แต่ของผมแบบนี้แหละ คือ"อีกอย่าง" ที่ทำให้ยิ้มได้ กลับมามีแรงเต้นแร้งเต้นกาไปอีก


สำหรับคนที่มาอ่านจนถึงบรรทัดนี้บอกตรงๆ รู้สึกดีมากๆ เลย ที่ยอมเสียเวลามาอ่านสิ่งที่เรียกว่าเป็นทัศนส่วนตัวล้วนๆ ของผม หลังจาก ครั้งนี้ความตั้งใจของบล๊อกนี้สำหรับผมมันคือของส่วนตัวแต่สำหรับสาธารณะ ถ้าการอ่านบล๊อกผม ทำให้คนอื่นฮา โดยที่จะได้อะไรหรือไม่ได้อะไรก็เหอะ ขอให้ฮา ให้สนุกไปกับมัน เหมือนที่ผมสนุกด้วยแล้ว เชื่อขนมกินได้เลยว่า ผมโคตรมีความสุขเลย

วันพุธที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2554

ความสุขของฉันแค่สามบาท

เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเจอเค้าบอกว่า "สิ่งเล็กๆ ในชีวิตประจำวันนี่แหละ ที่จะทำให้เรามีความสุขในแต่ล่ะวัน"

ไม่ต้องยิ่งใหญ่ว่าสิ่งที่เราทำจะสร้างประโยชน์กับโลกนี้ซักเท่าไร ขอแค่เรารู้สึกดีกับมันก็พอ(แต่ต้องไม่ให้คนอื่นเดือดร้อนน่ะ)


เมื่อวานก็เหมือนกับวันอื่นๆ ปกติ ที่ต้องนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินแล้วต่อรถเมล์เผื่อกลับบ้าน แต่ไม่รู้คิดอะไร ดันนึกสนุก+เบื่อ เลยลองนั่งรถเมล์อีกสายดูโดยที่ไปลงท่าช้าง แถวศิลปากร แล้วก็ต่อเรือข้ามฟากจากท่าช้าง เผื่อไปลงท่าเรือวังหลัง ค่าโดยสาร "สามบาท"


เวลาตอนนั้นประมาณซัก ทุ่มกว่าๆ ระหว่างไปท่าเรือเดินไปฟังเพลงจากไอพอตไป..ค่อยค่อยเดินทีล่ะเก้าทีล่ะเก้าพร้อมกับจังหวะของเสียงเพลงที่ผ่านสายหูฟังมายังโสตของประสาทการรับฟังจนเกิดอาการความสุขไปยังสมองแล้วสั่งการทำให้มุมปากยิ้มและขยับตามเสียงขับร้องของเพลง.......


ถึงท่าเรือ จ่ายค่าเรือแล้วไปรอที่โป๊ะ วันนั้นช่วงกลางวันอากาศร้อนทั้งวันอบอ้าว แต่ตอนนี้ระหว่างรอเรือ ความร้อนได้จากหายไป ลมที่พัดเย็นๆ เลียบระหว่างน้ำได้มาแทนที่ ทันทีที่เรือเข้าฝั่ง คนไม่ถึงสิบคนไปจับจองที่นั่งบนเรือ …หลังสุด สุดชิว นั่งฟังเพลงพร้อมก้มดูพระจันทร์ในแม่น้ำเจ้าพระยาที่สะท้อนมาจากข้างบน เหลือบไปเห็นวันอรุณที่ยังสวยงามเหลือเกินโดยที่ทั้งหมดทั้งมวลนั้นได้รับรู้รับเห็นพร้อมกับรับฟังเพลงที่ยังคงส่งเสียงบรรเลงไปในหูให้สมองยังคงสั่งการส่งความสุขอยู่.......พร้อมพร้อมกับสายลมที่กำลังพัดผ่านปะทะร่างกายอย่างแผ่วเบา จนไม่คิดไม่ฝันว่าทั้งหมดที่กล่าวมานั้นมันเป็นช่วงเวลาแค่ไม่เกินหกนาทีไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป....ถึงปลายทาง คนเริ่มทยอยขึ้นฝั่งกัน เราก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้นกลับไปสู่บ้าน หมดไปอีกหนึ่งพร้อมความสุขที่มาทำให้ความเหนือยของทั้งวันหายไป


ไม่ได้เว่อร์ แต่รู้สึกดีจิงๆ แต่อยากอวดเพราะความสุขอันนี้ ราคาแค่สามบาท


ปล. ความคิดต่อไปของข้าพเจ้าคือ ซื้อเบียร์ขวดเล็กๆ เย็นๆ ซักขวดไปกินระหว่างอยู่บนเรือข้ามฝาก (กำลังดีเบียร์หมดขวดก็นั่งไปกลับสองรอบ) สนใจไปแจมบอกได้น่ะ :P

ปล. 2 บทความนี้เป็นครั้งแรกที่พยายามเขียนแบบพรรณนาโวหาร ๕๕๕๕๕

วันอังคารที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2554

ทดไว้ในบล็อก (11)

- กลับมาเขียนเหมือนเดิม
- พรุ่งนี้ สงกรานต์ (13)
- งานเยอะมาก ทำจนหยดสุดท้าย
- เพราะอยู่ดึกเลยรู้ว่า M 150 อร่อยกว่า ลูกทุ่ง (ฮา)
- เพื่อนกลับมาจากญี่ปุ่นรอบแรก (ก่อนต้นปี) ได้โมเดล อุซบ (วันพีซ) อันเท่าแขน
- เท่มาก
- มีอยู่วัน คุย M เพื่อนบอก แผ่นดินไหว
- สักพัก สึมามิ!!!!
- เพื่อนรีบกลับ เลยไปเชียงใหม่ แผ่นดินไหวอีก!!!
- แล้วมันก็กลับญี่ปุ่นไปเก็บของ
- เจอแผ่นดินไหว ญี่ปุ่น อีกรอบ 5555
- มันเป็นตัวจับสัญญาณหรือเปล่าว่ะ
- กลับมาได้โมเดล นามิ (วันพีซ) แต่อันนี้เล็ก น่ารักดี
- ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา รู้สึกอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ มาก
- ทั้งเรื่องงาน เรื่องเพื่อน เรื่องทั่วไป ทุกสิ่งอย่าง
- หรือตัวเราจะอ้วนจนไปขวางโลกซะแล้ว
- อ้อ เกือบลืมข่าวดี
- ที่บ้านมีหลานแล้วน่ะฮะ
- หลานสาวคนแรก "นะริ" ^________^
- ได้มาพร้อม คอมตัวใหม่ อิอิอิอิ
- ถือเป็น "ของขวัญ" ปีนี้
- หงุดหงิดอ้วนขึ้น อ้อนขึ้น กวนตีนขึ้น ที่สะคัญ น่ารักขึ้น :P
- เด๋วไม่รู้ว่าจะเขียนอะไรดี เพราะตอนนี้ ทำตัวเป็นพี่ว๊ากมากๆ
- เห็นอะไรขวางหูขวางตาไปหมด
- ^...........^ แฮ๊บอะไนท์เดย์
- Wish u were here

วันแห่งสาด