ความทรงจำที่ 1
วันนี้วันที่ 24
เป็นวันศุกร์ของเดือนแห่งความรัก
พรุ่งนี้วันพระ...
พรุ่งนี้วันพระ...
ถ้าเป็นวันพระของปีที่เคยผ่านๆ
มา ก็คงไม่มีอะไร นอนคุดคู้อยู่ในผ้าห่มต่อไป แต่เดี๋ยวนี้ไม่แบบนั้น ทุกวันพระ ผม
อืมกูนี่แหละต้องตื่นแต่เช้าไปวัดเพื่อตักบาตร... เออ อ่านไม่ผิดหรอก ทุกวันนี้ยังขำตัวเองอยู่เลยว่าคนอย่างกูเนี่ยน่ะจะไปตักบาตร
ถ้าไม่มีเหตุให้ไปจริงๆ ทุกวันนี้เพิ่งเข้าใจว่าตัวเองนี่แหละ
ที่เคยคิดว่าเป็นคนใจแข็งแน่วแน่สุดๆ กลับกลายเป็นคนที่อ่อนไหวกับทุกสิ่งได้อย่างซีเรียสเลย
ทุกอย่างแม่งมีที่มาที่ไป ทุกอย่างแม่งมีเหตุและผล ทุกอย่างแม่ง..
ย้อนกลับไปประมาณเดือนสิงหาปี
59 (เดาๆว่าประมาณนั้น) แม่ที่ปกติเป็นคนที่แพ้อากาศได้ง่าย เจอฝุ่น หรืออากาศเย็นลงหน่อยก็จะเริ่มไอ
จมูกฟึดฟัดแหละ แต่นี่ผิดสังเกตมากก็เริ่มไอบ่อย และแม่เริ่มบ่นๆ
ว่าปวดตรงหัวไหล่กินยาก็ไม่หายสักทีหลายอาทิตย์เลย...จนวันนึงพาไปหาหมอที่ร.พ.เจ้าพระยา
เพราะอยากรู้ว่าเป็นอะไรมากกว่านี้ไหม แม่ก็ให้หมอสแกนหลังปกติ ผลสแกนก็ไม่มีอะไร
คาดการณ์ว่าเป็นกล้ามเนื้อเนื่องจากทำงานหนักหรือก้มหรือเงยอะไรนี่แหละ จากงานบ้าน
(หลักๆ น่าจะมาจากนั่งซักผ้านี่แหละ เพราะแม่จะซักผ้าแบบมือทุกครั้งไม่อยากได้เครื่องเพราะเค้ายืนยันมาตลอดว่าเค้าซักสะอาดกว่า
เมื่อก่อนเด็กๆ ก็เป็นเบิ๊ดเป็นพี่ชาย..พี่ฮาร์ทนี่แหละที่ผลัดกัน
แต่พอโตขึ้นทำงาน เค้าก็ทำให้มาตลอด) ส่วนแพ้อากาศได้ยามากินเหมือนเดิม
ผ่านไประยะนึง...แม่ยังไออยู่
ไอแห้งๆ แล้วก็ยังมีปวดหัวไหล่บ้างบางครั้ง จิบยาแก้ไอไปเกือบขวดก็เออกลับไปหาที่เจ้าพระยาอีกที
ทีนี้ตรวจให้ละเอียด ผลเอกซ์เรย์ออกมาก็มีจุดๆ ผิดปกติที่ปอด
ซึ่งหมอบอกว่าน่าจะเป็นวัณโรคเลยแนะนำให้ไปตรวจที่ร.พ.ทรวงอก
เพราะถูกกว่าเจ้าพระยาแน่ๆ
แล้วโรคนี้ต้องตรวจละเอียดระยะยาวน่าจะประหยัดเงินมากกว่าแน่นอน...หลังจากวันนั้นก็เริ่มไปตรวจที่รพ.ทรวงอก
ก็ตามสูตรของร.พ.รัฐ มันไม่ได้รู้ผลทันทีหรอก ก็เป็นขั้นตอนไป
เริ่มที่อาทิตย์นี้ตรวจฉี่ อีกอาทิตย์ต่อมาตรวจเสมหะ...ต่อเนื่องไปจนเป็นเดือนได้
จนมาถึงวันที่ได้ตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ..จำได้ดีวันนั้นไปกับแม่ขับรถออกไปกลับแม่ตอนเช้า
นั่งรอหมอ กว่าจะหมอเรียก กว่าจะทำไรเสร็จ จำได้ว่าตัวเองได้เดินเล่นนอนเล่นรอบร.พ.ไปเยอะมาก
จนเสร็จบ่ายๆ ก็พาแม่กลับบ้าน รอผลตรวจทางร.พ.จะโทรมาแจ้ง ขากลับยังจำได้ทุกวันนี้
แวะซื้อข้าวต้มปลาให้แม่ไปกินบ้านอยู่เลย
จนมาถึงวันที่หมอนัดตรวจ..แม่นั่งแท๊กซี่ไปคนเดียว
เพราะแม่คิดว่าไปแค่เอาผลตรวจเฉยๆ พ่อก็ไปทำงานหรืออยู่บ้านไม่แน่ใจ
พี่ฮาร์ทอยู่อีกบ้านนึงกับพี่โจ้-นะริปกติ ส่วนผมก็อยู่ออฟฟิศ ทำงานปกติ พอประมาณ
10 โมงกว่าๆ แม่โทรมาบอกว่าจะกลับบ้านแล้วน่ะนี่อยู่รถแท๊กซี่จะกลับบ้าน
ผม : “ฮัลโหล
แม่เป็นไงหมอตรวจว่าไงบ้าง เป็นอะไรเยอะไหม”
แม่ : “เดี๋ยวว่ากัน
กลับมาบ้านค่อยเล่า นี่อยู่บนแท๊กซี่”
ผมก็บอกว่าโอเค งั้นเจอที่บ้านเลิกงานก็วางหูไปปกติ
ประมาณ 20
นาทีต่อมา...พ่อโทร ด้วยเสียงคลุมเครือมาก แล้วถามว่า
“แม่ได้บอกไหมว่าเป็นอะไร”
“ไม่ได้บอกอ่ะ แม่บอกค่อยบอกตอนเจอที่บ้านมีไรป่าวพ่อ”
“แม่เค้าเป็นมะเร็งน่ะ”.........
“แม่เค้าเป็นมะเร็งน่ะ”.........
.
.
.
.
.
.
ความทรงจำที่ 2
“แม่เค้าเป็นมะเร็งน่ะ.....แต่เด๋วค่อยว่ากันที่บ้าน”
“มะเร็งอะไรพ่อแล้วระยะที่เท่าไร”
“มะเร็งตับ ระยะที่เท่าไรแม่ยังไม่บอก (ซึ่งทีแรกได้ยินเป็นแบบนั้นจนได้รู้ทีหลังจากแม่ว่าเป็นมะเร็งที่ปอด”
หลังจากพ่อพูดจบ สิ่งแรกที่ทำคือเปิดเนตว่าไอ้เหียมะเร็งที่แม่เป็นอยู่ มันจะเกิดอะไรต่อได้บ้าง
สักพักเป็นตาพี่ชายที่โทรมา โทรมาถามว่ารู้เรื่องแม่ยัง ก็เริ่มได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่ชาย ตัวผมเองก็ได้บอกไปแค่ว่า เด๋วเจอกันตอนเย็นที่บ้านล่ะกัน วางหูไป ก็ยังเปิดเนตอยู่ สักพักรุ่นพี่ที่ออฟฟิศเห็นว่าเปิดเนตหาเกี่ยวกับมะเร็งอยู่ก็ได้ถามว่าใครเป็น หลังจากตอบไปสั้นๆ ว่า “แม่เป็น” หลังจากนั้น น้ำตาแม่งก็ออกมาจากไหนไม่รู้
จนสักพักก็สงสัยว่าที่แม่เป็นระยะเท่าไร ก็เลยโทรหาร.พ.ทรวงอกว่าคนไข้ชื่อนี้เป็นมะเร็งระยะไหน ก็ได้คำตอบที่ไม่แน่ใจของเจ้าหน้าที่ อย่างน้อยๆ ก็รู้ว่าไม่ระยะที่ 3 ก็ 4 เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าอยู่ในระยะต้นๆ (1 หรือ 2) ร.พ.จะกักตัวไว้เพื่อรักษาต่อ แต่ถ้าร.พ.ส่งตัวไปที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติก็แปลว่าอยู่ในระยะที่ 3 หรือ 4 แล้ว
สาบานเลยว่าวันนั้นตอนอยู่ที่ออฟฟิศใจแม่งเคว้งมาก โทรหาปิ๊ก หาอะไรไปเรื่อยในเน็ตจนเลิกงานหรือกลับบ้านก่อนไม่แน่ใจ พอมาที่บ้านก็ได้เจอหน้าแม่ ก็ยังยิ้มๆ กัน จำได้ว่าตัวเองฟอร์มๆ มาก ว่าเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ก็ถามๆ แม่ว่าระยะที่เท่าไร หมอบอกไหม แล้วนัดไป สถาบันมะเร็งวันไหน แม่ก็ยิ้มแบบเจือๆ ว่าระยะที่ 3 แล้ว พอได้ยินสิ่งที่บอกแม่ไปซึ่งตอนนี้อยากจะตบปากตัวเองมากว่าน่าจะมีอะไรพูดมากกว่าคำแบบนี้ ถามแม่ว่า “แล้วรู้ไหมระยะสามหมายถึงอะไร แม่โอเคไหม” แม่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วต้องมานั่งฟังไอ้เบิ๊ดบ่นอีกว่า เนี่ยเห็นไหม อยากให้ไปตรวจร่างกายเแม่ก็ไม่ยอมไปเลย ไม่อยากไปอ้างเปลืองเงิน อะไรต่อมิอะไรเรื่อย.......
“มะเร็งอะไรพ่อแล้วระยะที่เท่าไร”
“มะเร็งตับ ระยะที่เท่าไรแม่ยังไม่บอก (ซึ่งทีแรกได้ยินเป็นแบบนั้นจนได้รู้ทีหลังจากแม่ว่าเป็นมะเร็งที่ปอด”
หลังจากพ่อพูดจบ สิ่งแรกที่ทำคือเปิดเนตว่าไอ้เหียมะเร็งที่แม่เป็นอยู่ มันจะเกิดอะไรต่อได้บ้าง
สักพักเป็นตาพี่ชายที่โทรมา โทรมาถามว่ารู้เรื่องแม่ยัง ก็เริ่มได้ยินเสียงร้องไห้ของพี่ชาย ตัวผมเองก็ได้บอกไปแค่ว่า เด๋วเจอกันตอนเย็นที่บ้านล่ะกัน วางหูไป ก็ยังเปิดเนตอยู่ สักพักรุ่นพี่ที่ออฟฟิศเห็นว่าเปิดเนตหาเกี่ยวกับมะเร็งอยู่ก็ได้ถามว่าใครเป็น หลังจากตอบไปสั้นๆ ว่า “แม่เป็น” หลังจากนั้น น้ำตาแม่งก็ออกมาจากไหนไม่รู้
จนสักพักก็สงสัยว่าที่แม่เป็นระยะเท่าไร ก็เลยโทรหาร.พ.ทรวงอกว่าคนไข้ชื่อนี้เป็นมะเร็งระยะไหน ก็ได้คำตอบที่ไม่แน่ใจของเจ้าหน้าที่ อย่างน้อยๆ ก็รู้ว่าไม่ระยะที่ 3 ก็ 4 เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าอยู่ในระยะต้นๆ (1 หรือ 2) ร.พ.จะกักตัวไว้เพื่อรักษาต่อ แต่ถ้าร.พ.ส่งตัวไปที่สถาบันมะเร็งแห่งชาติก็แปลว่าอยู่ในระยะที่ 3 หรือ 4 แล้ว
สาบานเลยว่าวันนั้นตอนอยู่ที่ออฟฟิศใจแม่งเคว้งมาก โทรหาปิ๊ก หาอะไรไปเรื่อยในเน็ตจนเลิกงานหรือกลับบ้านก่อนไม่แน่ใจ พอมาที่บ้านก็ได้เจอหน้าแม่ ก็ยังยิ้มๆ กัน จำได้ว่าตัวเองฟอร์มๆ มาก ว่าเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น ก็ถามๆ แม่ว่าระยะที่เท่าไร หมอบอกไหม แล้วนัดไป สถาบันมะเร็งวันไหน แม่ก็ยิ้มแบบเจือๆ ว่าระยะที่ 3 แล้ว พอได้ยินสิ่งที่บอกแม่ไปซึ่งตอนนี้อยากจะตบปากตัวเองมากว่าน่าจะมีอะไรพูดมากกว่าคำแบบนี้ ถามแม่ว่า “แล้วรู้ไหมระยะสามหมายถึงอะไร แม่โอเคไหม” แม่ก็ไม่ได้พูดอะไร แล้วต้องมานั่งฟังไอ้เบิ๊ดบ่นอีกว่า เนี่ยเห็นไหม อยากให้ไปตรวจร่างกายเแม่ก็ไม่ยอมไปเลย ไม่อยากไปอ้างเปลืองเงิน อะไรต่อมิอะไรเรื่อย.......
หลังจากเย็นวันนั้นก็เริ่มวางแผนเกี่ยวกับแม่ การกินอาหารการทำกิจกรรมต่างๆ ก็คุยกับแม่ว่า เราจะไม่ปล่อยให้แม่ไปซื้อของคนเดียว เราจะไปซื้อผักที่สด งดเนื้อสัตว์ แล้วก็กินอาหารที่เสี่ยงหรือเพิ่มอาการต่าง สาบานได้ว่าไม่รู้เรื่องอะไรพวกนี้เลย รู้สึกตัวเองแม่งโคตรไม่มีประโยชน์อะไรเท่าไร
หลังจากนั้น น่าจะเป็นหลังจากที่รู้ว่าตัวแม่เป็นมะเร็ง
พี่โจ้พี่สะใภ้กับม๊าแม่ของพี่โจ้ ก็มาเยี่ยมทันทีที่รู้ว่าแม่เป็นยังไง พอกลับมาจากออฟฟิศ
แม่ก็บอกกับผมว่า ”เนี่ย เบิ๊ด แม่พี่โจ้จะพาแม่ไปอยู่ด้วย เบิ๊ดโอเคไหม คิดว่าไง” หลังจากที่ได้ยินคำนี้บอกกับแม่ทันทีเลยว่า
“โอเคน่ะ แล้วแต่แม่เบิ๊ดไม่ซีเรียสหรอ ก็ดีน่ะ
เพราะอยู่นี่ไม่มีคนดูแลอาหารให้แม่เลย เบิ๊ดทำไม่เป็น
แถมแม่มีนะริกับพี่ฮาร์ทอยู่ด้วยอีก อยู่นี่กว่าเบิ๊ดจะเลิกงานก็ดึกแหละ”
จำได้ว่าวินาทีนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรเลย นอกจากรู้สึกว่าสบายดี อยู่บ้านคนเดียวไม่เครียดที่แม่จะเหงา แถมมาคิดอีกว่า เออเด๋วกูดูแลบ้านแทนแม่เอง แม่จะได้ไม่มาจับต้องอะไร ซึ่งการที่แม่ไปอยู่กับม้า แม่ของพี่สะใภ้นั้นถือว่าดีมากๆ สำหรับแม่ ทุกๆ เรื่อง ทั้งอาหารที่แม่จะเปลี่ยนมากินแต่ผักที่สดไม่กินเนื้อสัตว์ ได้ออกกำลังกาย ได้อยู่ในจุดๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปทำงานบ้านนั่นนี่ (ซึ่งปล่อยเป็นหน้าที่เบิ๊ดไปเลย) ได้เจอนะริกับพี่ฮาร์ทที่ทำงานอยู่ที่บ้านอยู่แล้วเป็นเพื่อนไปในตัวอีก
เราคุยกันทั้งครอบครัว พ่อ แม่ ลูกทั้งสองคนไว้ว่า แม่มาอยู่ที่นี่ แม่ต้องเตรียมตัวทำคีโมรักษามะเร็ง ก็ต้องทำร่างกายให้พร้อม ให้เต็มที่จนกว่าจะถึงเวลานัดของหมอคุยเรื่องการรักษา ในเดือนธันวาคม(2559)
จำได้ว่าวินาทีนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรเลย นอกจากรู้สึกว่าสบายดี อยู่บ้านคนเดียวไม่เครียดที่แม่จะเหงา แถมมาคิดอีกว่า เออเด๋วกูดูแลบ้านแทนแม่เอง แม่จะได้ไม่มาจับต้องอะไร ซึ่งการที่แม่ไปอยู่กับม้า แม่ของพี่สะใภ้นั้นถือว่าดีมากๆ สำหรับแม่ ทุกๆ เรื่อง ทั้งอาหารที่แม่จะเปลี่ยนมากินแต่ผักที่สดไม่กินเนื้อสัตว์ ได้ออกกำลังกาย ได้อยู่ในจุดๆ ที่ไม่ต้องกังวลว่าจะต้องไปทำงานบ้านนั่นนี่ (ซึ่งปล่อยเป็นหน้าที่เบิ๊ดไปเลย) ได้เจอนะริกับพี่ฮาร์ทที่ทำงานอยู่ที่บ้านอยู่แล้วเป็นเพื่อนไปในตัวอีก
เราคุยกันทั้งครอบครัว พ่อ แม่ ลูกทั้งสองคนไว้ว่า แม่มาอยู่ที่นี่ แม่ต้องเตรียมตัวทำคีโมรักษามะเร็ง ก็ต้องทำร่างกายให้พร้อม ให้เต็มที่จนกว่าจะถึงเวลานัดของหมอคุยเรื่องการรักษา ในเดือนธันวาคม(2559)